[letsinfoup]
1. ก้าวแรกที่เข้ามาในแฟนด้อม
ตั้งแต่เด็กเราอยู่ในครอบครัวที่บ้านเป็นศิลปิน พ่อก็เป็นนักทำหนัง นักเขียน อยูในแวดวงบันเทิงอยู่แล้ว พ่อก็เคยทำวงดนตรี ชื่อ ‘กรุงเทพคาลิปโซ่’ เพราะงั้นเราก็เลยอยู่กับคนที่ใกล้ชิดกับเสียงเพลง พี่สาวก็เป็นนักฟังเพลงเหมือนกัน ตอนนั้นเขาก็มาเป็นนักจัดรายการ เพื่อนบ้านที่บ้านติดกันเขาเป็นนักดนตรีเล่นในแคมป์ฝรั่ง แล้วสมัยเด็กมันก็ไม่มีตัวเลือกให้เลือกฟังเท่าไร ก็จะมี The Beatles กับบุคลิกที่ดูดี โดดเด่น แม้ว่าจะห่างกันถึง 10 ปี แต่ก็รู้สึกว่าเราโตมาด้วยกัน จนช่วงวัยรุ่นปี 1970 วงก็แตก แต่เพลงยังอยู่ คนยังชอบฟังอยู่ ผมก็เคยเอาเพลงเขามาเล่นแต่ก็เล่นได้ไม่ดีหรอกครับ (หัวเราะ) เหมือนเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ แม้ว่าเขาแยกกันไปแล้ว ผมก็ยังฝังใจอยู่กับเขา หยิบเพลงขึ้นมาฟังแม้จะผ่านไปหลายปี จนลูกๆ รำคาญกัน (หัวเราะ) แต่พอเขาโตขึ้นแล้วกลับมาฟัง เขาก็ชอบนะ หลังๆ เลยมาอยู่แฟนด้อมเดียวกัน
2. ชอบอะไรในแฟนด้อมนี้ และมันให้อะไรกับคุณ
ชอบหลายอย่าง ตอนเด็กๆ อาจจะชอบคาแรคเตอร์ที่ดูเป็น boyband ช่วงที่เราโตขึ้นเขาก็เท่แล้ว ช่วงปี 1969 - 1970 เขาก็ออกมาเป็น hippy ขบถนิดหนึ่งแล้ว เขาก็เริ่มตั้งคำถาม เขาก็ไม่ได้เป็นเด็กเรียบร้อย มันก็สอดคล้องกับเรา พอเราเป็นวัยรุ่นเราก็อยากจะเป็นขบถ อยากจะตั้งคำถามบ้าง การเป็นแฟนคลับ The Beatles อย่างน้อยก็ให้ความสุขแล้ว ได้ทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมก็มีความสุขอีกส่วนหนึ่งผมก็อยากให้คนอื่นๆ รับรู้ถึง The Beatles ด้วย เหมือนผมกับเขาเป็นหนี้กันหน่อยๆ ต้องเผยแพร่ศาสนา Beatles ให้คนอื่นรับรู้ อะไรทำนองนี้ครับ คนอื่นก็น่าจะได้รับการแบ่งปันความสุขแบบนี้ด้วย
3. ของสะสมชิ้นที่แพงหรือได้มายากที่สุด
อัลบั้มนี้ครับ “Yesterday and Today” เป็นอัลบั้มที่โดนแบนที่อเมริกา เป็นอัลบั้มที่มีสองปก คือปกนี้โดนแบนเพราะว่าเขาเหมือนกับต่อต้นสงครามเวียดนาม ภาพมันไม่ได้เป็น boyband แบบเดิม มันเริ่มสาระ มีเนื้อหา มีความขบถ มันก็เลยกลายเป็นปกที่หายากและแพงหน่อย ผมเคยไปเจอที่คลองถมครั้งนึง ร้านที่ไปซื้อแผ่นเสียงประจำ ตอนนั้นแผ่นมันโดนปลวกกิน แล้วเราไม่ได้ตัดสินใจซื้อ คล้อยหลังไป 5 นาทีเท่านั้นเอง กลับไปใหม่มันขายไปแล้ว เวลาไปต่างประเทศเราก็ตามดูแต่มันแพง ไม่ใช่หายากหรอกแต่ว่าหาซื้อแล้วมันแพง อันนี้ลูกสาวไปได้มาจากอิตาลี ก็เลยได้มาฝากครับ
4. ของสะสมที่มีคุณค่าทางจิตใจมากที่สุด
เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้วเราไปที่ Liverpool ไปตระเวนบ้านเกิดของสี่คน เราก็ไปเก็บใบไม้ เศษหิน ที่อยู่ที่บ้านเขา เราก็รู้สึกเราเก็บมาแล้วมีความสัมพันธ์กับเขา มันเป็นประวัติศาสตร์ อันนี้อาจจะเป็นอะไรที่เรารู้สึกภูมิใจว่าเราได้ไปเอามา
5. ถ้าไม่ได้มาอยู่ในแฟนด้อมนี้ คิดว่าชีวิตจะเป็นยังไง แล้วอะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้ยังอยู่ในแฟนด้อมนี้
ผมคงได้เวลาไปทำอย่างอื่นเยอะเลย เพราะเสียเวลากับ The Beatles เยอะมาก แต่ว่าคิดว่าที่เสียเวลากับพวกเขามันก็ทำให้ผมมีความสุข ไม่รู้สึกเสียดายเวลาเลย ในวัยเด็กเรามีความสุขกับเขา แล้วยิ่งศึกษาเขา ก็ยิ่งรู้ว่า The Beatles มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ดนตรีโลกด้วย เราเรียนรัฐศาสตร์ ตัว The Beatles เองเขาก็มีความสนใจในประเด็นการเมือง โดยเฉพาะ John Lennon ที่ตอนท้ายๆ ของวงเขาก็พูดเนื้อหาที่เป็นการเมืองมากขึ้น ก็จะประมาณนี้ที่ทำให้เราสนใจเขาแล้วก็เหมือนกับผูกพันธ์กันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งตายกันไป ตอนนี้เขาก็ตายไปสองคนแล้ว เหลืออีกสองคน ปีนี้ Paul ก็กลับมาทำคอนเสิร์ตอีกนะ ชื่อ “Got Back” ที่อเมริกา แต่ว่าเราไม่ได้ไปหรอก แต่เราได้มีโอกาสได้ไปดูคอนเสิร์ต Paul ที่เขามาเล่นที่โตเกียวเมื่อประมาณสัก 3 ปีที่แล้ว
6. สิ่งที่อยากฝากถึงคนในแฟนด้อม หรือคนที่ยังไม่รู้จักแฟนด้อมนี้
อยากให้ลองมาฟังดู แต่เราไม่ได้บอกว่า Beatles ดีที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด หรือเพลงเขาสุดยอดเป็นอัจฉริยะ แต่ว่าอย่างน้อยเขาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เขาทำให้ดนตรีมันกระจายไปทั่วโลก แล้วตัวเขาเอง เขาก็มีส่วนในการคิดค้นนวัตกรรมในทางเพลง ในหลายมิติ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะลองมาฟังเขาดู ถ้าฟังแล้วเราจะรู้สึกชอบ แต่มันไม่ได้แบบว่าเพลงเขาจะดีที่สุดนะ แต่ก็เป็นเพลงที่น่าฟัง แต่ละยุคของเขาเราจะเห็นพัฒนาการของเขา เขาไม่ได้เป็นนักดนตรีที่มีความรู้ด้านดนตรีมาโดยการเรียน แต่เขามีพรสวรรค์จริงๆ แล้วก็เรียนรู้ไปได้เรื่อยๆ เขาก็ไม่ได้เขียนโน้ต ไม่ได้อ่านโน้ตอะไรนะ แต่ถ้าเรามาฟังคนที่เขาเชี่ยวชาญทางด้านดนตรีก็จะรู้ว่า เออ เขาไม่ได้รู้โน้ต เขาไม่ได้รู้ทฤษฎีดนตรี แต่เขาสร้างทฤษฎีที่มันสอดคล้องกับทฤษฎีสากล ถือว่าสมกับความเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 20 เขาก็ควรจะเป็นวงหนึ่งที่ต้องอยู่ต้นๆ ของโลกดนตรี ถ้าเราบอกเรายกย่อง Mozart ในยุคก่อน ในศตวรรษที่ 20 เราก็คงจะต้องคิดถึงเขาเป็นคนแรกๆ เลยครับ