‘Laugh Laugh Laugh’ 3 หนุ่มคูล กับเสน่ห์ขี้เล่นที่ใครหลายคนหลงรัก พร้อมแนวเพลงอันเป็นเอกลักษณ์จนหยุดฟังไม่ได้ ประกอบไปด้วย ‘ไมกี้’ – กิตติธัช เส็นติหยะ (ร้องนำ), ‘ไบร์ท’ – วิชชัน วงศ์ปรีชาโชค (กีตาร์) และ ‘แทน’ – แทนสกุล สุวรรณกูฏ (คีย์บอร์ด) กับซิงเกิลล่าสุดอย่าง ‘Safe Phone’ เพลงที่อยากให้ทุกคนรู้สึกว่าในชีวิตนี้ยังมีใครสักคนอยู่ วันนี้ EQ อยากพาทุกคนไปทำความรู้จักพวกเขาให้มากขึ้น ผ่านเส้นทางของดนตรี ตัวตน และสไตล์เพลงในแบบ Laugh Laugh Laugh
สมาชิกของ ‘Laugh Laugh Laugh’ มารู้จักกันได้อย่างไร?
ไบร์ท: เริ่มจากสิ่งที่ผมถนัดคือ การทำดนตรี แต่ว่าแต่งเนื้อเพลงไม่ได้ และคิดว่าในกลุ่มเพื่อนเรามีใครสามารถแต่งเพลงได้บ้าง ก็เลยนึกถึงไมกี้ เพราะเคยทำงานด้วยกัน ไมกี้เคยทำวิชวลให้กับวง เรามองว่าเขาดูเท่ ดูมีสไตล์ เคยเห็นไมกี้ร้องเพลง เลยรู้สึกว่ามีออร่าของความเป็นศิลปิน จึงคิดว่าไมกี้น่าจะแต่งเนื้อเพลง และเป็นผู้นำของวงได้
ไมกี้: หลังจากนั้นผมก็ชวนแทนมาร่วมงาน ซึ่งคนนี้ผมชอบเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว สมัยที่ทำงานกับพี่แทน เขาทั้งออกแบบ และทำเพลงได้ด้วย มีเพลงเยอะมาก เลยชวนมาร่วมงานด้วยกัน
แทน: ไมกี้ชวนมากดคีย์บอร์ดครั้งสองครั้ง วันต่อมาไปถ่ายเอ็มวีแล้วเหมือนมัดมือชกนิดหนึ่ง (หัวเราะ)
เริ่มเข้าสู่การทำเพลงจริงจังตั้งแต่เมื่อไร?
ไบร์ท: ตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว เริ่มที่ผมอยากทำเพลงแนวฟังก์ อยากได้ดนตรีที่มันสามารถเต้นได้ และคนฟังสนุกได้ นี่แหละคือความยาก แต่เราอยากเล่นดนตรีที่เราอยากเล่น และเราก็ขึ้นดนตรีมาก่อนแบบที่ยังไม่มีเนื้อร้อง ไม่มีคอนเซ็ปต์ใดๆ เลย ซึ่งเราอยากได้เนื้อเพลงก็เลยโทรหาใครสักคนแต่งเนื้อเพลงให้หน่อยแค่นั้นเลย แล้วพวกเราก็มาเสนอไอเดียกันว่า ทำเป็นวงกันดีไหม ให้มันมีความทางการขึ้น
ทำไมต้องชื่อ Laugh Laugh Laugh?
ไมกี้: ตอนแรกชื่อวงเราเป็นพยางค์เดียว อยากได้เป็นชื่อคนด้วยซ้ำ แต่หาคำไม่ได้ แล้วเราชอบคำว่า Laugh ก็เลยเอามาเบิ้ลเป็น Laugh Laugh Laugh เพราะมันดูสนุกดีและจำง่าย แต่ถ้าแปลอีกมุมหนึ่งก็จะออกแนวประชดประชันหน่อย แบบขำแห้ง ก็แล้วแต่คนจะตีความเลย
สไตล์เพลงของ Laugh Laugh Laugh เป็นแบบไหน?
ไบร์ท: หลักๆ แล้ว ผมพยายามจะทำให้มันเป็นแนวฟังก์ที่ได้มารวมเข้ากับโซล แจ๊ส และอาร์แอนด์บี เราลดความเด่นของเมโลดี้ และความกลมกลืนลง รวมถึงทำจังหวะสนุกสนานเพิ่มขึ้นให้คนฟังสามารถโยกได้เบาๆ
แทน: เป็นแนวอัลเทอร์เนทีฟฟังก์ที่มีกลิ่นอายโพสต์ร็อกนิดหนึ่ง บวกกับเสียงร้องของไมกี้ที่มีความเป็นฮิปฮอป ซึ่งพวกเราตั้งใจให้เป็นการผสมผสานหลายๆ แนวอยู่แล้ว
แรงบันดาลใจของแต่ละเพลงมาจากไหน?
ไมกี้: ตอนไบร์ทส่งเพลงมาให้ฟัง เราก็เลยลองเขียนเพลงเล่นๆ ดู พยายามสร้างเรื่องขึ้นมา หรือเอาเรื่องจากคนใกล้ตัวที่เคยได้ยินมาแต่ง แต่หลักๆ เลย คิดถึงพ่อแม่ ก็เลยพยายามเล่าเรื่องผ่านชีวิตจริงของตัวผมเอง ผมเป็นคนชอบเขียนเนื้อหาซึมๆ อยู่แล้ว ด้วยโครงของเพลงมันมาแนวสนุกสนาน พอเรามาร้องเป็นภาษาอังกฤษรู้สึกว่ามันเหมาะกว่า เพราะผมติดร้องแนวฮิปฮอปด้วย
อะไรทำให้ Laugh Laugh Laugh ต่างจากคนอื่น?
แทน: เป็นการรวมตัวของแต่ละคนที่มีความต่าง ทั้งเรื่องของการแต่งตัวที่ชอบแต่งกันคนละแนว รวมถึงเรื่องของดนตรีฟังก์ และเสียงร้องไมกี้ที่เป็นฮิปฮอป พอเอามารวมกันมันให้มู้ดที่น่าสนใจ และการที่ทำเพลงเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษมันทำให้เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในตลาดไทย ซึ่งมันสามารถเชื่อมต่อกับคนที่อยู่ต่างประเทศได้ และนี่แหละคือเอกลักษณ์ของพวกเรา
พวกผมสามคนมีความต่างกัน แต่พอมาอยู่ด้วยกันมันทำให้เกิดสิ่งที่แปลกใหม่ – แทน
ไบร์ท: จริงๆ ผมทำเพลงก็ปล่อยไปตามอารมณ์ประมาณหนึ่ง ผมจะไม่ค่อยโฟกัสที่คอนเซ็ปต์เท่าไร อยากใส่อะไรก็ใส่ อย่างเพลง ‘The Sweetest Song’ เป็นเพลงที่มีความอะคูสติกมากๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ อยู่ดีๆ ก็อยากลองใส่เสียงสะท้อน ใส่เสียงที่มันประหลาดๆ ให้มันขัดๆ พยายามหาซาวด์ที่มันไม่มีในตลาดไทย ซึ่งเราอยากเป็นวงไทยที่ทำซาวด์ให้มันแปลกขึ้นมา ให้มันมีความซาวด์ดีไซน์ประมาณหนึ่ง แต่หลักๆ แล้ว จุดเด่นของวงคือ เสียงร้องไมกี้ ผมว่าเสียงร้องของไมกี้มันไม่มีวงไทยไหนที่เหมือนแล้ว
คิดว่าคนฟังของ Laugh Laugh Laugh เป็นใคร?
ไบร์ท: คนประมาณแบบเรานี่แหละ แต่พอเพลง ‘Flat Earth’ รู้สึกว่าคนฝั่งยุโรปจะชอบมากกว่าฝั่งเอเชีย เพราะผมให้เพื่อนที่เรียนเมืองนอกฟัง เขาบอกว่าโซนยุโรปน่าจะชอบ พอมาดูระบบหลังบ้านมันก็มีคนยุโรปมากกว่าคนไทยจริงๆ แล้วแต่เพลงเลย อย่างเพลงล่าสุด ‘Safe Phone’ ก็ดูถูกใจคนเอเชียมากกว่า ซึ่งหลักๆ เลยกลุ่มเป้าหมายเราคือ ‘Gen Y’ รุ่นเดียวกับพวกเรา เป็นวัยทำงานที่มีความเครียดประมาณหนึ่ง และตั้งคำถามกับอะไรหลายๆ อย่าง เช่น ทำไมชีวิตไม่เหมือนกันตอนมหา’ลัยแล้ว มันมีความเครียดมากขึ้น ซึ่งผมมองว่าวงเราเป็นเพื่อนกับคนเหล่านั้น เพราะเนื้อเพลงของเรามีการตั้งคำถามว่าจะจบตรงไหน ชีวิตเราจะไปต่ออย่างไร แต่ในมุมของ Laugh Laugh Laugh ที่เล่าออกไปคือ ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น อย่างเพลง ‘up / down’ ก็เล่าว่าชีวิตเราเดี๋ยวก็ขึ้นเดี๋ยวก็ลง เรามีช่วงเวลาที่แย่กับช่วงเวลาที่ดี ผมว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบ และกำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน ซึ่งเราคิดจากคอนเซ็ปต์ประมาณนี้
เพลงที่ปล่อยออกมาผมว่าจุดร่วมของมันคือ ‘ชีวิตเราก็แค่นั้น’ – ไมกี้
ชอบเพลงไหนของตัวเองมากที่สุด?
แทน: ชอบ ‘Safe Phone’ เพราะรู้สึกว่าตอนที่อยู่ด้วยกันมา เพลงล่าสุดเป็นเพลงที่โดนเส้น และในเนื้อเพลงมันเหมือนเขียนมาแทนตัวเรา มันโดนใจก็เลยชอบ
ไบร์ท: ผมชอบเพลงแรกสุด เพลง ‘up / down’ เพราะมันเป็นฟีลของการเริ่มต้นทำอะไรบางอย่าง เป็นไอเดียแรกของพวกเรา ซึ่งตอนรวมตัวทำเพลงนี้ด้วยกันมันรู้สึกดี ได้ทำเอ็มวีตัวแรกเลยเป็นความทรงจำที่ดีสำหรับผม
ไมกี้: แต่ผมไม่ชอบ ‘up / down’ เพราะพอมันเขียนออกมารู้สึกว่ามันขาดอะไรไป เหมือนยังหาตัวเองไม่เจอแต่มันก็ไปต่อได้ดี เป็นหลักฐานของการเริ่มต้น ส่วนเพลงที่ชอบสุดน่าจะเป็นเพลง ‘The Sweetest Song’ มันเพราะ และดูเจ็บปวดดี
เล่าถึง ‘Safe Phone’ ให้ฟังหน่อย?
ไมกี้: เพลงนี้อยากให้รู้สึกว่า ในชีวิตเรายังมีใครสักคนอยู่ บางทีเราอาจจะลืมการมีตัวตนของเขา เพราะการมีเขาอยู่มันทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้นในบางช่วง หรือการที่ได้คุยกับคนที่เข้ามาแบบนั้นแต่วันหนึ่งเขาก็ต้องจากไป เราก็ต้องอยู่ด้วยตัวของเราเองซึ่งเราก็ต้องปลงมันไปซะ
ไบร์ท: ประมาณว่าถ้าคุณรู้สึกแย่ก็แค่โทรหาเรา ส่วนตัวเอ็มวีที่ทำก็ไปคุยกับผู้กำกับว่า เราอยากทำเป็นเหมือนโทรศัพท์ในคุก ที่คุยกันผ่านกระจก เหมือนคุยกับคนที่อันตรายที่สุดแต่จริงๆ แล้วมันปลอดภัยที่สุด ซึ่งจริงๆ มันแล้วแต่คนจะตีความเลย
ไมกี้: ในเอ็มวีทำเป็นเหมือนคนออกจากคุกแล้วมาเจอโลกใหม่ ซึ่งเขาก็พยายามจะใช้ชีวิตปกติ แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีแล้ว เหมือนว่าทุกคนพยายามวิ่งตามหาที่ๆ ปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเองหลังจากที่เจอเรื่องเลวร้ายมา
ความท้าทายของการเป็นศิลปินหน้าใหม่ในปัจจุบันคืออะไร?
ไบร์ท: การที่เราต้องการสร้าง Engagement ในโซเชียลมิเดีย ในตอนนี้มันไม่ง่ายเท่าสมัยผมอยู่มหา’ลัย เพราะตอนนี้ช่องทางต่างๆ ก็มีหลากหลายมากขึ้นอย่าง TikTok ซึ่งเราก็ไม่เก่ง ต้องตามให้ทัน เหมือนกับว่าวิธีการมันเปลี่ยนไป ก็เลยไม่ง่ายสำหรับเรา แต่มันเป็นดวงด้วยส่วนหนึ่งคือ การที่เพลงของเราไปถูกใจใครสักคน หรือคนฟังที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ มันเป็นเรื่องของโชค เราไม่สามารถไปควบคุมได้ เราทำได้แค่พยายามนำเสนอผลงานออกไปให้ได้มากที่สุด
ไมกี้: เราว่าการประชาสัมพันธ์มันยากมากเลย เหมือนมันปิดกั้นการมองเห็น ก็เลยต้องไปทุ่มยิงแอด และทำโปรโมต
แทน: พวกเราคุยกันว่า ต้องหากลุ่มเป้าหมายก่อนว่าคนที่ฟังเพลงเราคือใคร ซึ่งตอนนี้โซเชียลมีเดียก็กำลังเปลี่ยน มันไม่ง่ายเหมือนเดิม อย่างเพลย์ลิสต์ก็เป็นฟังก์ชั่นในชีวิตคนๆ หนึ่ง แค่ว่าเพลงเราไปอยู่ตรงนั้นไหม มันอาจจะเป็นตรงนั้นด้วยที่ยาก
ความฝันของ Laugh Laugh Laugh คืออะไร?
ไบร์ท: ของผมมองค่อนข้างไกล แน่นอนว่าเราต้องการไปเล่นต่างประเทศอยู่แล้ว เพราะเราทำเพลงภาษาอังกฤษ ฝันไกลๆ ไปก่อน แต่จริงๆ ผมไม่ค่อยโฟกัสเป้าหมายที่ใหญ่มาก ผมจะโฟกัสแค่ว่าอะไรที่ต้องทำต่อแค่นั้น มองไปทีละก้าว เนื้องานจะได้เดินไปเรื่อยๆ เพราะถ้าโฟกัสเป้าหมายใหญ่ก็เหมือนเมื่อก่อนที่ปล่อยทีละเพลง ผมว่ามันอัพเดทช้าไปหน่อย
ไมกี้: อยากให้ไปไกลทั้งในไทย และในต่างประเทศด้วย ถ้าเราทำเพลงประมาณนี้ ไม่ว่าคนไทย หรือชาวต่างชาติก็ฟังได้ อยากให้มันเป็นแบบนั้น
แทน: จริงๆ ที่มาร่วมงานด้วย เพราะเห็นว่าพวกเรามองไปในทางเดียว เพราะเพลงที่ทำไม่ได้ตอบโจทย์แค่ตลาดไทยอย่างเดียว พวกเราก็อยากมาปล่อยของในพื้นที่ที่คนฟังเห็นแล้วชอบ
ติดตามผลงานของ Laugh Laugh Laugh ได้ที่
YouTube: Laugh Laugh Laugh Official
Facebook: LAUGH LAUGH LAUGH
Instagram: laughlaughlaugh_555
และ Music Streaming ทุกช่องทาง