เมื่อนึกถึงดนตรีร็อกและเมทัล คนทั่วไปมักจะนึกถึงดนตรีอันหนักหน่วง พลังเสียงกรีดโสตประสาท เนื้อเพลงเสียดสีสุดโต่ง และเหล่า ‘ชายแท้’ ที่กระโดดในวงมอชพิตตามจังหวะ และอารมณ์เพลง ราวกับว่าพวกเขากำลังกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรง แต่ท่ามกลางดนตรีที่สะท้อนความเป็นชายที่แข็งกร้าว ในแง่หนึ่ง ร็อกและเมทัลก็เป็นดนตรีการเมือง และเป็นเครื่องมือที่ผู้ถูกกดขี่ใช้ในการระบายความรู้สึกอัดอั้น รวมทั้งประกาศอิสรภาพจากพันธนาการทางสังคมทั้งมวล
LGBTQ+ เองก็เป็นกลุ่มคนที่ถูกกดทับจากทัศนคติของสังคมในแทบทุกพื้นที่ ดนตรีร็อกและเมทัลก็เป็นเครื่องมือที่ LGBTQ+ ใช้ในการตอบโต้ขนบเดิมๆ เช่นกัน เพราะฉะนั้น ในประวัติศาสตร์ดนตรีประเภทนี้ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศก็มีบทบาทอย่างมาก นอกจากนี้ ศิลปินร็อกและเมทัลที่เป็น LGBTQ+ ก็มีอิทธิพลต่อแนวทางดนตรี แฟชั่น และสร้างแรงบันดาลใจให้ชุมชน LGBTQ+ อีกด้วย และนี่คือ 5 ตัวอย่างแรงบันดาลใจจากศิลปินร็อกและเมทัล ที่เป็นไอคอนของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
David Bowie
ร็อกสตาร์ นักแต่งเพลง และนักแสดงชาวอังกฤษ ผู้ผ่านการแต่งงานมา 2 ครั้ง และเป็นพ่อของลูก 2 คน เขาประกาศตัวว่าเป็นเกย์ในปี 1972 หลังจากเปิดตัวสตูดิโออัลบั้ม ‘Hunky Dory’ และให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับรสนิยมแกลมร็อกของเขา และช่วงที่เขาเปิดเผยถึงเพศวิถีของตัวเอง ยังเป็นช่วงเวลาหลังจากที่รัฐสภาอังกฤษอนุมัติให้การรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย และเป็นช่วงเวลาหลังจากการจลาจลที่ผับ Stonewall ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งนำไปสู่การเฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ Pride Month
ดนตรีแกลมร็อกของ Bowie สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยน Elton John จากนักเปียโนบัลลาดมาดสุขุม กลายเป็นร็อกเกอร์ผู้มีสีสัน รวมทั้งการร่วมงานทำเพลงกับ Lou Reed และเขย่าดนตรีป็อปอังกฤษให้หลุดออกจากยุคหลัง The Beatles
แต่สำหรับชุมชน LGBTQ+ Bowie ถือเป็นไอคอนคนสำคัญ จากการสร้างอีกคาแรกเตอร์หนึ่งของตนเองขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า ‘Ziggy Stardust’ และเผยโฉมอย่างยิ่งใหญ่ในปี 1972 พร้อมสตูดิโออัลบั้ม The Rise and Fall of Ziggy Stardust and The Spiders From Mars
สำหรับเรื่องราวของ Ziggy Stardust เขาเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มีลักษณะเป็นได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง เขาเดินทางมายังโลก เพื่อส่งสารถึงความหวัง ก่อนที่โลกจะเกิดภัยพิบัติ โดยเป็นเป็นสัญลักษณ์ของร็อกสตาร์ที่เป็นอิสระทางเพศ และการวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่บูชาคนดัง นอกจากนี้ สไตล์แฟชั่นอันเจิดจ้า แวววาว และความเป็นแกลมร็อกของ Ziggy Stardust ยังส่งให้วัฒนธรรมเควียร์กลายเป็นกระแสหลักในยุคนั้นด้วย
Freddie Mercury
ฟรอนต์แมนแห่งวง Queen นักร้อง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์ชาวอังกฤษ แม้โดยทั่วไป ‘Freddie Mercury’ จะไม่ได้เปิดเผยเรื่องชีวิตส่วนตัวมากนัก แต่เขาก็เป็นหนึ่งในไอคอนของชาว LGBTQ+ ผู้แสดงตัวว่าเป็นไบเซ็กชวล
Freddie Mercury สะท้อนตัวตนของตัวเอง ทั้งยังท้าทายบรรทัดฐานเรื่องเพศสภาพ และเพศวิถีได้อย่างมีเสน่ห์ ผ่านโชว์ในคอนเสิร์ต รวมทั้งผลงานเพลงอย่าง ‘I Want to Break Free’ ที่ทั้งวงแต่งกายเป็นผู้หญิงในมิวสิกวิดีโอ และทำให้มิวสิกวิดีโอเพลงนี้เคยถูกแบนในสหรัฐอเมริกา
Freddie แต่งงานครั้งแรกกับ Mary Austin หญิงผู้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเพลง ‘Love of my Life’ ก่อนที่เขาจะเปิดเผยถึงเพศวิถีของตัวเอง และมีความสัมพันธ์กับผู้ชาย แต่ความสัมพันธ์ที่ยาวนานรองจากชีวิตคู่กับ Austin คือความสัมพันธ์กับ Jim Hutton ซึ่งแม้จะไม่ได้แต่งงานกับ Hutton อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ Freddie เรียก Hutton ว่าสามี และทั้งคู่สวมแหวนแต่งงาน
อย่างไรก็ตาม Freddie ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเอดส์ ทว่าไม่ได้เปิดเผยข่าวนี้ เนื่องจากไม่ต้องการให้สื่อใช้เขาเป็นตัวแทนในการรณรงค์เรื่องวิกฤตโรคเอดส์ ดังนั้น เขาจึงไม่เคยยืนยันว่าเขาป่วยด้วยโรคนี้ จนกระทั่งก่อนการเสียชีวิตในปี 1991 ซึ่งจนวันสุดท้ายของชีวิต Freddie ก็ยังคงมี Hutton อยู่เคียงข้าง
Elton John
ร็อกสตาร์เจ้าของเสียงนุ่มละมุนหูแห่งชุมชน LGBTQ+ ผู้ประกาศตัวว่าเป็นไบเซ็กชวลตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1970s และต่อมาในปี 1992 Elton John ให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone ว่าเขาเป็นเกย์ และ “รู้สึกสบายใจที่เป็นเกย์”
ในช่วงที่โรคเอดส์ระบาดไปทั่วโลก Elton John ก่อตั้ง Elton John AIDS Foundation เพื่อรณรงค์เรื่องโรคเอดส์ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน LGBTQ+ และคร่าชีวิตเพื่อนของเขา ทั้ง Freddie Mercury และ Ryan White รวมทั้งใช้ชื่อเสียงของตัวเองในการระดมทุน และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรคเอดส์ พร้อมทั้งให้ทุนการศึกษาและทุนวิจัยด้วย
ในปี 1993 Elton John พบรักกับ David Furnish และได้แต่งงานกัน หลังจากที่รัฐบาลอังกฤษอนุญาตให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ ทั้งคู่ช่วยกันเป็นกระบอกเสียงให้ชุมชน LGBTQ+ ด้วย
จากนั้น ในปี 2017 Elton John ใช้แพลตฟอร์มของตัวเอง เรียกร้องให้ประชาชนชาวออสเตรเลียนโหวตสนับสนุนการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน โดยโพสต์ภาพของ Furnish พร้อมแคปชั่นว่า “หลายปีก่อน ผมเลือกออสเตรเลียเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานกับผู้หญิงที่วิเศษสุดคนหนึ่ง ที่ผมรักและเทิดทูน สิ่งที่ผมต้องการเหนืออื่นใดคือการเป็นสามีที่ดี แต่ผมกลับปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองเป็น ซึ่งทำให้ภรรยาของผมเสียใจ และทำให้ผมรู้สึกผิดและเสียใจอย่างมาก”
“การที่จะมีคุณค่าคู่ควรกับความรักของใครสักคน คุณต้องกล้าหาญมากพอ และมีสายตาที่เฉียบคมมากพอที่จะซื่อสัตย์กับตัวเองและคู่ของคุณ”
“สำหรับเดวิดและผม เราสามารถรักกัน และมีพันธสัญญาต่อกันได้อย่างเปิดเผย และสิ่งเหล่านี้ที่ได้รับการตระหนักถึงและเฉลิมฉลอง คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตนี้น่าอยู่ขึ้น”
นอกจากนี้ Elton John ยังเป็นศิลปินรุ่นใหญ่ ที่มักจะให้คำแนะนำกับวัยรุ่น LGBTQ+ อยู่เสมอ โดยในปี 2019 เขาให้สัมภาษณ์กับ Variety เกี่ยวกับประเด็นที่เด็กที่เป็น LGBTQ+ ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ เขาตอบว่า “แค่เป็นตัวของตัวเอง อย่าให้ใครมาลดทอนตัวคุณ”
“ผมถือว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์ เพราะผมอยู่ในธุรกิจที่ให้การยอมรับเกย์ แม้ว่าผมจะเปิดเผยตัวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ผมก็ยังมีอภิสิทธิ์ มีเด็กหลายคนไม่ได้มีอภิสิทธิ์ พวกเขามาจากบ้านที่มีฐานะยากจน พ่อแม่ก็ไม่เข้าใจ ส่วนศาสนาก็สร้างความลำบาก”
“ถ้าอยู่บ้านแล้วไม่สบายใจก็ออกมา อย่าให้ใครมาทรมานคุณเพียงเพราะคุณเป็นเกย์ หรือเพียงเพราะเพศวิถีของคุณ ออกมา ชีวิตเต็มไปด้วยการผจญภัย ขอให้มีความหวังในหัวใจ อย่ายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และพยายามซื่อสัตย์กับตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็พอ”
“การเป็นเกย์มันวิเศษมากนะ ผมชอบการเป็นเกย์จริงๆ ผมคิดว่าผมคงไม่ได้มีชีวิตอย่างตอนนี้ ถ้าไม่ได้เป็นเกย์ และผมภูมิใจมาก ผมภูมิใจมากที่สามารถซาบซึ้งกับความเป็นเกย์ได้”
“จงภูมิใจในสิ่งที่คุณเป็น มีผู้คนมากมายที่หลากหลายและมหัศจรรย์มากในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหญิง เกย์ คนข้ามเพศ เราต่างเป็นลูกของพระเจ้า”
Rob Halford
นักร้องนำของวง Judas Priest วง Heavy Metal จากอังกฤษ ในฐานะฟรอนต์แมนของวง เขาคือคลื่นลูกใหม่ของวงการเมทัลอังกฤษช่วงต้นทศวรรษ 1980s เจ้าของสไตล์การร้องเพลงอันทรงพลัง และการแต่งกายด้วยชุดหนัง และหมุดเหล็ก เป็นไอคอนแห่ง Heavy Metal
แต่ในฐานะ LGBTQ+ Halford มีชื่อเสียงในฐานะ ‘เกย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการ Heavy Metal’ เป็นศิลปินเควียร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดตลอดกาล และเป็นผู้ที่สร้างพื้นที่ของชุมชนเควียร์ในแวดวงเมทัล
Halford เปิดเผยตัวเองว่าเป็นเกย์ในช่วงปลาย ทศวรรษ 1990s ซึ่งเขาถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขารู้สึกเป็นอิสระที่สุดในชีวิต ซึ่งหลังจากนั้น เขาได้ให้นิยามของการยอมรับเพศวิถีเกย์ในวงการเมทัลว่าเป็น “การยอมรับ และการได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน”
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ Halford เปิดเผยเรื่องเพศวิถีของตัวเอง เขากลับกังวลว่าจะสูญเสียฐานแฟนคลับ และไม่กล้าเดินทางไปในบางพื้นที่ เนื่องจากกลัวถูกทำร้ายร่างกาย เพียงเพราะเขาเป็นเกย์ ทว่าสุดท้าย เพื่อนร่วมวง และแฟนเพลงก็ยังคงสนับสนุนเขาเหมือนเดิม
Billie Joe Armstrong
ข้ามจากเกาะอังกฤษ มาที่สหรัฐอเมริกากันบ้าง กับพังก์ร็อกเกอร์ยุค 90s อย่าง Billie Joe Armstrong ฟรอนต์แมนของ Green Day ที่เปิดเผยว่าตัวเองเป็นไบเซ็กชวลในการให้สัมภาษณ์กับ The Advocate เมื่อปี 1994 โดยกล่าวว่า
“ผมคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นไบเซ็กชวล หมายถึงว่า มันเป็นสิ่งที่ผมสนใจ ผมคิดว่าทุกคนเกิดมาเป็นไบเซ็กชวล และพ่อแม่ รวมทั้งสังคม มีอิทธิพลในการชี้นำให้เรารู้สึกว่า โธ่…เราเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก พวกเขาบอกว่า มันเป็นกฎ เรื่องพวกนี้ปลูกฝังอยู่ในหัวของพวกเราว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย มันเป็นสิ่งที่สวยงาม”
ในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น Armstrong อธิบายถึงเพลง ‘Coming Clean’ ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาขณะที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ที่ซานฟรานซิสโก และครุ่นคิดถึงเรื่องเพศวิถีของตัวเอง
ต่อมาในปี 2012 Armstrong เปิดตัวว่าเป็นเกย์ และกลายเป็นหนึ่งในไอคอนของชาวเควียร์ และเป็นแกนนำคนสำคัญที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของ LGBTQ+ ทั้งการแสดงจุดยืนต่อต้านกฎหมายห้ามการแต่งงานเพศเดียวกันในแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 2010 การสนับสนุนการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อ LGBTQ+
อ้างอิง
Loudwire
PopDust
Washington City Paper
Billboard
Artsphere
SDLGBTN
bi.org
RadioX