Daily Pickup

‘สาธุคุณวรรธนา’ นักบวชนักขับเคลื่อนความเท่าเทียมทางเพศ กับการสร้าง ‘พื้นที่ทางศาสนาที่เป็นมิตรกับ LGBTQIAN+’

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน วิเคราะห์ แยกแยะ และกรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพ

‘พื้นที่ทางศาสนาจะเป็นมิตรกับ LGBTQIAN+ อย่างไรได้บ้าง?’

ในเดือนไพรด์ปีนี้เราได้ตั้งคำถามนี้ และได้ชวนนักบวชที่ออกมาเดินขบวนใน Bangkok Pride 2023 ซึ่งเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่งาน ‘Chaing Mai Pride’ ในฐานะส่วนหนึ่งของทีมงาน Chiang Mai Pride ซึ่งท่านได้มีการโปรดศีลสมรสให้กับคู่รัก LGBTQIAN+ จนเป็นที่รู้จักมากมาย มาร่วมบทสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติ ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศ เป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับ LGBTQIAN+ และอนาคตของสังคมที่เต็มไปด้วยความหลากหลายว่า การที่คนรุ่นใหม่เริ่มหันหลังให้ศาสนามากขึ้น เมื่อพวกเขารู้สึกว่ามันไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกัน ‘สาธุคุณ วรรธนา แจ้งยิ้ม’ ผู้ก่อตั้งและอธิการของ ‘St. Mary Independent Catholic, Mission of Thailand’ กลับพยายามสร้าง และทำให้ศาสนาเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกความหลากหลาย

Photo Credit: วรรษมน ไตรยศักดา for The Modernist

ตั้งแต่โปรดศีลสมรสให้คู่รัก LGBTQIAN+ ที่งาน ‘CHIANG MAI PRIDE’ มาถึงวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?

ตั้งแต่วันที่ทำการโปรดศีลแบบเต็มรูปแบบ มันได้ก่อให้เกิดกระแสอย่างหนักต่อพี่น้องในนิกายโรมันคาทอลิกว่า บุคคลนี้เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงทำพิธีเหมือนโรมันคาทอลิกเลย ตอนแรกบราเดอร์รู้สึกกลัว และกังวลมากเลยนะ ว่าจะโดนผู้คนเข้ามาโจมตี หรือจู่โจมเรา แต่จะทำอย่างไรล่ะ เพราะเราก็อยากจะยืนหยัดในมิชชั่นอันเป็นพันธกิจของพระเจ้าที่มอบหมายให้แก่เราต่อไป แต่เราก็รู้ว่าเราแสดงตัวตน และจุดยืนอย่างชัดเจนในการที่เราต้องการทำให้ผู้คนได้เห็นถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อทุกๆ คน โดยไม่จำกัดเพศ สถานะ เชื้อชาติ หรือสีผิว แม้กระทั่งความเชื่อทางศาสนา หรือนิกาย เราอยากจะทำให้พื้นที่นิกายของเราในส่วนนี้เป็น Safe Zone ให้พี่น้อง LGBTQIAN+ อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยที่พวกเขาจะต้องไม่รู้สึกเหมือนถูกบังคับ หรืออึดอัดที่จะอยู่ในพื้นที่นี้ สิ่งสำคัญที่ต้องการสื่อสารคือ เมื่อคุณเข้ามาแล้ว คุณจะรู้สึกปลอดภัยทั้งทางฝ่ายจิตวิญญาณ และจิตใจต่างหาก

“บราเดอร์จึงทำมิชชั่นนี้ต่อมาเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำให้ผู้คนได้รู้ว่า ความรักของพระเจ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุด และความรักของพระเจ้านั้นทรงมีเพียงพอสำหรับทุกคน”

พันธกิจที่อยากจะสื่อสารว่า ‘พระเจ้าทรงรักทุกคนโดยไม่แยกเพศ’ เริ่มต้นได้อย่างไร?

ตอนนั้นมีสิ่งที่บราเดอร์ไม่เห็นด้วยอย่างมากๆ คือ การวางมือขับไล่ ‘ผีเกย์’ หรือ ‘ผีเบี่ยงเบนทางเพศ’ ความเชื่อที่ว่า LGBTQIAN+ หรือการเป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ คือความเจ็บป่วย ความบาป และโรคที่เกิดจากผีร้าย จะต้องถูกขับไล่อย่างถอนรากถอนโคน หรือที่เขาเรียกกันว่า ‘Conversion Therapy’ ซึ่งมันไม่มีสิ่งนี้ในพระคัมภีร์เลยเสียด้วยซ้ำ มีเสียที่ไหนล่ะในการวางมือขับผีแล้วตะโกนดังๆ ว่า “ออกไปซะ! ไอ้ผีลักเพศ” การปฏิบัติอย่างนี้มีแต่ทำให้ผู้คนฆ่าตัวตายมากยิ่งขึ้น ซึ่งก่อนที่บราเดอร์จะมาเป็นนักบวช บราเดอร์ก็เคยมีเจอประสบการณ์นี้กับตัวเองมาแล้ว พวกเขามารุมวางมือ และตะโกนขับไล่ผีเกย์ให้ออกไป ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่กระทบอย่างรุนแรงต่อจิตใจ ไม่ว่าจะเป็น “ออกไปไอ้ผีโสมม!” “ออกไปไอ้ผีเกย์!” “ออกไปไอ้ผีวิปริต!” “ออกไปไอ้ผีลักเพศ!”

“พวกเขาพยายามทำให้เรา มี Side Effect ไม่ว่าจะเป็นการอ้วก สำรอก หรือทำให้เราล้ม และยอมจำนน แต่แท้จริงแล้วตอนนั้นเรากลับรู้สึกสงบมากในจิตใจ เราไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะอ้วก อยากจะดิ้นทุรนทุรายเหมือนที่พวกเขาต้องการให้เราเป็น”

หลังจากวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

หลังจากวันนั้นเราก็รู้สึกเจ็บปวดมากๆ ในฝ่ายวิญญาณ เปรียบเสมือนลูกแกะที่โดนเฆี่ยนจนหลังเหวอะ จนในที่สุดเราก็ได้ยินเสียงเรียกจากพระเจ้าให้เริ่มต้นงานพันธกิจ ซึ่งนั่นก็เป็นการตัดสินใจของเราที่จะออกมาจากพื้นที่อันตรายตรงนั้น แล้วเราก็รู้สึกถึงจุดเริ่มต้นที่สมบูรณ์ในความรักของการเริ่มพันธกิจเพื่อทุกๆ คน และพี่น้อง LGBTQIAN+ ของเรา ในนามของ ‘Christian LGBTQ+ Support Mission’

มิชชั่นนี้มีเป้าประสงค์อย่างไร?

ตอนนั้นเรารู้สึกว่า ถ้าไม่มีใครทำส่วนนี้ เราเองนี่แหละ อยากทำให้ทุกๆ คนได้เห็นว่า ‘พระเจ้าทรงเป็นความรัก และพระเจ้าทรงรักทุกคน โดยไม่แบ่งแยกเพศ เพราะความรักคือความรัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ถ้าเรารู้จักพระเจ้าแต่ไม่รู้จักความรักมันก็ไม่ Make Sense’ จริงไหมครับ

ทำไมศาสนาในเมืองไทยถึงมักจะมีภาพจำของการแสดงตัวต่อต้าน LGBTQIAN+ มาตลอด?

ก่อนอื่นเลยบราเดอร์อยากจะเล่าให้เข้าใจว่า ศาสนากับสิทธิมนุษยชนเป็นของคู่กัน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่เลือกจะเดินตามความเชื่อ ศรัทธา หรือเคารพนับถือ คริสต์ศาสนาเราเป็นศาสนาเอกเทวนิยม ส่วนมากคริสต์ศาสนาในไทยมักจะมีความ Ignorance และ Anti อย่างรุนแรง และค่อนข้างจะปฏิเสธอะไรหลายๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQIAN+ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการไม่สนับสนุนผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเท่านั้น แต่อย่างในกรณีของเพศหญิงด้วย ซึ่งจะถูกกดขี่โดยอำนาจของเพศชาย และเช่นเดียวกัน ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศก็จะถูกนำไปนับรวมเป็นส่วนหนึ่งในนั้นว่าเป็นเพศที่บกพร่อง และอ่อนแอ ซึ่งแตกต่างจากในต่างประเทศที่คริสต์ศาสนาสนับสนุนเปิดกว้าง และให้การซัพพอร์ตเป็นอย่างยิ่งในด้านของความเท่าเทียมกัน และหลักสิทธิมนุษยชน

ทำไมสังคมไทยยังไม่ค่อยเปิดรับความหลากหลาย?

คิดว่าในประเทศไทยยังคงมีความหัวโบราณ Coservative ไม่สนับสนุนอยู่มาก เพราะมีความเชื่อของสังคมที่ถูกปลูกฝังหยั่งรากลึกมาตั้งแต่อดีต อย่างเช่น เพศหญิงเป็นเพศที่จะต้องเป็นผู้ตามเท่านั้น หรือถ้าครอบครัวคุณสอนมาว่า LGBTQIAN+ เป็นบาป ผิดศีลธรรม มันก็จะหยั่งลงรากลึกเข้าไปในจิตใจ และจิตวิญญาณ เมื่อมันเกิดขึ้นจะต้องถูกแก้ไขอย่างเร่งด่วน สิ่งนี้จึงเป็นตราบาปทางอ้อม ที่มองคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นเชื้อร้ายที่ต้องถูกตัดทิ้ง และก็จะอ้างเนื้อหาในไบเบิลมาฟาดฟัน และกดขี่

เราจะสามารถทำให้ศาสนาเป็นพื้นที่ปลอดภัยแก่ LGBTQIAN+ ได้อย่างไรบ้าง?

แน่นอนครับว่า ศาสนากับการเมืองจะเป็นของคู่กัน เพราะว่าศาสนานั้นมีอิทธิพลต่อผู้คนเป็นอย่างมาก ทั้งการสนับสนุน และการขับเคลื่อน ถ้าถามว่าเราจะทำอย่างไรให้ศาสนาไม่เป็นพื้นที่อันตราย จริงๆ ในยุคสมัยนี้ถ้าพูดถึงคำว่าอะลุ่มอล่วยมันใช้ไม่ได้แล้วจริงๆ ในเมืองไทยผู้คนมักจะยอมรับความจริงไม่ได้ถ้าหากใครคนหนึ่งพูดความจริง ปฏิบัติให้เห็นถึงความจริง พวกคนที่ Anti ก็จะปฏิเสธแบบอัตโนมัติ โดยที่เรายังไม่ปริปากพูดอะไรเลย บราเดอร์คิดว่า ถ้าจะพูดเรื่องความเป็นมนุษย์ มันไม่ควรเอาเรื่องศาสนามาพูดเพื่อให้คนคล้อยตามในสิ่งที่เขาเหล่านั้นรังเกียจ หรือสร้างความเกลียดชังจนเลยเถิด นำไปสู่การล้ำเส้นหลักสิทธิมนุษยชน และความเป็นมนุษย์

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ศาสนาเป็นพื้นที่ปลอดภัยคือ การยอมรับว่า แท้จริงแล้ว ความรักนั้นสำคัญ และยิ่งใหญ่ที่สุด คัมภีร์ไบเบิลเองยังมีการสังคายนาทุกครั้งใน 10 ปี เพื่อให้สมบูรณ์ และได้เวอร์ชั่นที่ดีที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้วคือ พระคำของพระเยซูคริสต์เจ้า ที่ปราศจากความเกลียดชังแต่ทรงต้อนรับทุกๆ คนอย่างเท่าเทียมกันด้วยความรัก

“พระเยซูไม่เคยกล่าวว่า การเป็น LGBTQIAN+ เป็นบาป แต่ผู้คนต่างหาก ที่นำพระคำของพระเจ้าไปตีความ และสอน นั่นแหละที่บาป และพวกเขาก็ไม่เคยตระหนักรู้เลยว่า ที่สำคัญพวกเราทุกคนก็เป็นคนบาปเท่าๆ กัน ซึ่งแท้จริงแล้วพวกเราที่เป็น LGBTQIAN+ ก็ต่างมีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน”

อยากจะฝากอะไรส่งท้ายบทสัมภาษณ์นี้ไหม?

สิ่งสำคัญที่อยากจะฝากไว้คือ บราเดอร์มีจุดมุ่งหมายที่จะเสริมสร้าง และแบ่งปันความรักของพระเจ้าให้ทุกๆ คน เหตุเพราะว่า ความรักนั้นเป็นของขวัญที่ประเสริฐที่สุด ที่ทุกๆ คนสมควรได้รับในฐานะมนุษย์ โดยมิมีกำแพงเรื่องเพศ หรือความเชื่อมาขวางกั้น เพราะการตัดสินเป็นหน้าที่ และงานของพระเจ้า บราเดอร์เป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหนที่จะตัดสินคุณทุกๆ คน จริงไหมครับ?

สุดท้ายนี้ในฐานะนักเขียน เราคงพูดได้ว่า การปรากฏตัวของบุคคลที่มีบทบาทเป็นผู้นำทางศาสนา ในกระบวนการสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ และสิทธิความเท่าเทียม นับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ท้าทายความเชื่อของสังคมไทย พร้อมทั้งผลักดันเพดานการสนทนาให้สังคมจับตามองกันว่า ในอนาคตศาสนาจะมีการปรับตัวให้เข้าความหลากหลายของโลกยุคใหม่ได้อย่างไรบ้าง อย่างที่ภาครัฐ ภาคธุรกิจกำลังปรับตัวกันในปัจจุบัน เช่น การเริ่มสนับสนุน ผลักดันสิทธิความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกว่าสมัยก่อน อีกทั้งการจัดงานไพรด์ของกรุงเทพฯ ในปี 2023 และการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมจากพรรคการเมืองต่างๆ ในไทย

Share