Daily Pickup

Part-Time Idol: เทรนนีที่ถูกลืม สู่ดาวดวงใหม่ของวงการ K-Pop

‘Part-Time Idol’ (비정규직아이돌) มินิซีรีส์ 5 ตอนจบที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวงการไอดอลได้อย่างน่าสนใจ เรื่องราวเกิดจากโปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘จอง แทคยอง’ (정태경 – รับบทโดย ‘คิม มินคโย’ (김민교)) ผู้อยู่เบื้องหลังไอดอลที่มีชื่อเสียงมากมาย กลับมาปั้นเด็กฝึกหัดกลุ่มใหม่อีกครั้ง หลังจากหายไปตั้งคำถามกับตัวเองนานหลายปี ซึ่งนักแสดงหลายคนในเรื่อง ถ้าเป็นคนที่ติดตามวงการ K-Pop อยู่แล้วก็จะคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ประกอบไปด้วย ‘ควอน ฮยอนบิน’ (권현빈) อดีตสมาชิกวง JBJ, ‘ฮวัง ซึงออน’ (황승언) นักแสดง นางแบบ และนักร้องโปรเจกต์ชั่วคราว Temporary Idols ภายใต้ YG Entertainment, ‘อี ซูฮยอน’ (이수현) จากวง AKMU, ‘คิม ฮีจอง’ (김희정) นักแสดงสาวมากความสามารถ และ ‘ควอน ยองด็อก’ (권용덕) แดนเซอร์หนุ่มจาก YG Entertainment หรือที่สาวก K-Pop รู้จักกันดีในนาม Kwon Twins

Part-Time Idol เป็นซีรีส์ที่มีความยาวตอนละ 30 นาทีกว่าๆ ซึ่งถือว่าดูเพลินมาก ในวันว่างๆ ก็สามารถดูจบรวดเดียว 5 ตอนในคราวเดียวได้เลย เป็นมินิซีรีส์ที่ดูเพลินๆ มีความตลกสอดแทรกอยู่ทุกตอน นักแสดงหลักหลายคนในเรื่องก็เป็นไอดอลเสียเอง ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นซีรีส์ที่สร้างมาเพื่อล้อเลียนวงการไอดอลอยู่นิดๆ การที่ซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องของการนำกลุ่มเด็กฝึกหัดที่มีจุดบกพร่องอยู่มารวมกัน เพื่อทำการฝึกฝนแบบพิเศษ ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนค่อยๆ เติบโตไปกับวง ให้อารมณ์เหมือนดูรายการ reality ติดตามเด็กฝึกหัดเมื่อสมัยก่อนมากๆ แต่เพียงแค่ Part-time Idol มาในรูปแบบของซีรีส์เท่านั้น

เพียงแค่ 5 ตอนก็มีการเติบโตของตัวละครมากมาย ซึ่งทำให้นักเขียนประหลาดใจอยู่เหมือนกันว่า มันสามารถเล่าเรื่องให้สนุกโดยที่ไม่เกิน 30 นาทีได้ด้วยเหรอ ในแต่ละตอนก็ไม่ได้มีอะไรสะเทือนใจ ดึงดราม่าเหมือนกับว่ามีใครถูกเปิดเผยว่ามีอดีตที่น่าตกใจ หรืออย่างอื่นที่น่าเศร้าแบบนั้น แต่เป็นการนำเสนอว่าสมาชิกในกลุ่มทั้งหมดทำงานร่วมกันเพื่อให้ตัวเองได้พัฒนาศักยภาพ และกลายเป็นไอดอลที่สมบูรณ์แบบให้ได้

ระหว่างการเทรนของเหล่าเด็กฝึกหัดทั้งหลาย เราจะเห็นความสำคัญของสมาชิกทุกคนในทีม เพราะเพลงฮิตกับท่าเต้นที่น่าทึ่งจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากการทำงานเป็นทีม และความเข้าใจระหว่างสมาชิก ถ้าคนคนหนึ่งทำพลาด ทุกอย่างอาจพังทลาย หรือทุกคนจะสามารถรอดพ้นจากหายนะเพราะสมาชิกอีกคนหนึ่งได้เลย อย่างเช่นในเรื่องที่ทุกคนช่วยให้ ‘ฮวัง ซึงออน’ หลุดพ้นจาก comfort zone ของตัวเองและสามารถร้องเพลงต่อหน้าผู้คนได้ ลดอารมณ์โมโหร้ายของ ‘คิม ฮีจอง’ อีกทั้งยังช่วยให้ ‘อี ซูฮยอน’ รู้สึกมั่นในใจในตัวเองมากขึ้นหลังจากพี่ชายของเธอเข้ากรมไป การที่สมาชิกในวงแต่ละคนช่วยกันแก้ไขสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง และมีโปรดิวเซอร์ช่วยชี้แนวทางและสนับสนุน ทำให้พวกเขาเป็นทีมที่สมบูรณ์ และทุกคนช่วยส่งเสริมกัน อีกทั้งซีรีส์ยังนำเสนอการฟาดฟันโลกของทุนนิยมในวงการไอดอลอยู่เล็กน้อย เพราะการที่โปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘จอง แทคยอง’ ต้องการเดบิวต์เทรนนีที่ขาดตกบกพร่องขึ้นมา ในสายตาของนักบริหารในค่ายก็อาจจะมองว่ามันเป็นความขาดทุน จึงจะเห็นการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อจะได้เดบิวต์ของเหล่าไอดอลกับโปรดิวเซอร์อยู่ในเรื่อง ทำให้เรารู้ว่ากว่าจะมาเป็นศิลปินหนึ่งวง เพลงหนึ่งเพลง แม้กระทั่งการถ่ายเอ็มวีหนึ่งตัว มันไม่ได้ง่ายเลย

แม้การแสดงของตัวละครหลักในเรื่องจะดูติดๆ ขัดๆ ไปบ้าง  เนื่องจากนักแสดงหลักบางคนเป็นไอดอลจริงๆ ไม่ใช่นักแสดง ด้วยเนื้อหาและอารมณ์ของซีรีส์ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรมากมาย ถ้าหากใครต้องการมาดูเพราะนึกว่าจะมีการเสียดสีวงการไอดอลเกาหลี บอกเลยว่าต้องพับโครงการเก็บไปก่อน เพราะถึงแม้มีหลายครั้งที่บทเหมือนเริ่มเกริ่นๆ ว่าจะเสียดสีวงการ K-Pop แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนยังไม่กล้าใส่เต็มเกี่ยวกับตัววงการตรงๆ ในส่วนนี้ นักเขียนมีความคิดเห็นส่วนตัวว่า ตัวบทน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ เพราะตัวนักแสดงหลักเองก็มีชื่อเสียงและโลดแล่นอยู่ในวงการ ไหนจะตัวละครสมทบชื่อดังมากมายที่มาปรากฏตัวในเรื่อง ถ้าหากใส่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในการฝึกเทรนนีเข้าไปอีกสักนิด มันจะทำให้ซีรีส์ Part-Time Idol น่าสนใจมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แต่จะไม่พูดถึงเพลงในเรื่องเลยก็ไม่ได้ เพลงเดบิวต์ของ Part-Time Idol ที่ชื่อ ‘Red Carpet’ นั้นติดหูสุดๆ มันรวมเอาความสามารถของสมาชิกทุกคนให้ขับออกมาผ่านเสียงเพลงได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว

https://www.youtube.com/watch?v=af_ErfQwF5k

โดยรวมแล้ว Part Time Idol เป็นมินิซีรีส์ที่สามารถดูได้เรื่อยๆ ถ้าสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับวงการ K-Pop อยู่แล้ว หรืออยากหาอะไรดูฆ่าเวลา มันก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว นักเขียนเองก็หลุดหัวเราะออกมาได้ขณะที่นั่งดู แสดงว่า มันจะคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปแน่นอน ถ้าหากว่าเพิ่มเนื้อเรื่องอีกสัก 2-3 ตอน ทุกอย่างในซีรีส์ก็คงจะมีความเร่งรีบน้อยลง และสามารถเพิ่มรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม มันจบด้วย happy ending ตามสูตร และไม่ได้ทำให้รู้สึกค้างคาหรือปล่อยทิ้งอะไรไว้ให้งงเล่น ดังนั้น หากคุณเบื่อๆ และกำลังมองหาละครเกาหลีที่สั้น สนุก เสพง่าย คุณอาจชอบ Part-Time Idol นอกจากจะได้เพลิดเพลินไปกับเนื้อเรื่องแล้ว เผลอๆ ก็อาจจะได้เพลงเพราะๆ เข้าไปเพิ่มในเพลย์ลิสต์โปรดอีกต่างหาก!

ขอขอบคุณรูปภาพจาก Netflix