ถ้าให้นึกถึงซีรีย์ที่จะแนะนำ หรือบอกต่อให้ใครหลายคนได้ลองรับชม คงจะนึกถึงเรื่อง ‘Pose’ เป็นเรื่องแรกๆ ซีรีส์ที่นำเสนอมุมมอง และความเป็นตัวเองของ LGBTQ+ ในแบบฉบับที่ครบรสเต็มสูบ ถึงแม้มันถูกบิดเบือนแต่งแต้มรสชาติเล็กน้อยเพื่ออรรถรสของความเป็นซีรีส์ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Pose เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่พิสูจน์ความเสียสละของผู้หญิงข้ามเพศ และการต่อสู้เพื่อตัวเองของพวกเธอ
ไม่แปลกใจที่ Pose จะได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากคนดูตั้งแต่ที่ออกฉาย เพราะมันถ่ายทอดประสบการณ์ของ Queer และคนข้ามเพศออกมาได้อย่างสมจริง อีกทั้งยังมีนักแสดงข้ามเพศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทีวีอย่าง ‘Dominique Jackson’ มาร่วมแสดง ในบทบาทของคุณแม่ ‘อเล็กทรา’ รวมถึง ‘Angelica Ross’ ที่แสดงเป็น ‘แคนดี้’ ‘Indya Moore’ ในบท ‘แองเจิ้ล’ และ ‘MJ Rodriguez’ ที่รับบทเป็น ‘บลังก้า’ ไปจนถึงผู้เขียนบท และผู้อำนวยการสร้างอย่าง ‘Janet Mock’ เอาเป็นว่า แค่เห็นชื่อนักแสดง และผู้กำกับก็ทำเอาซีรีส์เรื่องนี้ตะโกนออกมาว่า Slay! แต่นอกเหนือจากการแสดงที่ถ่ายทอดความเจ็บปวดที่คนดำต้องเผชิญในยุค 80s แล้ว Pose ยังนำบทสนทนาที่เกี่ยวกับบทบาทสำคัญของสาวข้ามเพศผิวสี ที่มีผลต่อชีวิตพวกเขาอีกด้วย
เนื้อเรื่องนำเราไปรู้จักกับ ‘ระบบบ้าน’ ที่คอยต้อนรับกลุ่มคนที่ถูกผลักไสจากครอบครัว หลังจากเปิดเผยความเป็นตัวเอง ในยุคนั้นการ Coming Out เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทำให้หนุ่มสาวหลายคนต้องออกไปใช้ชีวิตคนเดียว โดยมี ‘คุณแม่’ (House Mothers) ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่อ้อมอกของเธอ พร้อมทั้งยืนหยัดเพื่อการเลี้ยงดู และสนับสนุนทุกคนในบ้านอย่างเต็มที่ ‘เลือดไม่ได้สร้างครอบครัว พวกนั้นคือ ญาติ ครอบครัวคือ คนที่คุณแบ่งปันสิ่งดี ไม่ดี และอัปลักษณ์ และจะรักกันในที่สุด’ นี่คือ นิยามของคำว่า ‘บ้าน’ ใน Pose
Pose นำเสนอมุมมองหลายอย่างให้กับคนดู ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เพื่อเป็นที่ยอมรับของครอบครัว ที่การแสดงประกอบด้วยความรัก และความสุขมากมาย และมันก็สมเหตุสมผล ในซีรีส์เรื่องนี้ เราเห็นสาวข้ามเพศผิวสีที่กำลังสร้างชุมชนแห่งความอ่อนโยน ความสุข และความรักอยู่บ่อยครั้ง เพื่อตอบสนองต่อความเกลียดชัง และการกดขี่ที่พวกเธอประสบพบเจอ ไม่มีตัวละครใดที่เป็นเรื่องตลก หรือมุกตลก ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ต่างจากซีรีส์ LGBTQ+ เรื่องอื่นอยู่หลายขั้น ถึงแม้การแสดงจะเต็มไปด้วยความรัก และความสุข แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้น ซีรีส์เรื่องนี้กล่าวถึงกลุ่มคนรักร่วมเพศ, การไร้ที่อยู่อาศัยของเยาวชน LGBTQ+, โรคเอดส์ และงานบริการทางเพศตลอดทั้งตอน แต่ประเด็นต่างๆ ไม่ได้กำหนดตัวละครให้ตัวละครอื่นๆ ไปในทางย่ำแย่ แต่มันคือ ‘การเอาตัวรอด’ วิธีการของตัวละครในการต่อต้านการกดขี่นี้คือ การแสดงออกผ่านความสุขของพวกเขา ซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอทั้งการแก้ปัญหา และการตระหนักรู้ว่า ผู้คนยังคงต้องการมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข และความรักได้อย่างสมดุล ซึ่งมันนำปรับมาใช้ได้ในชีวิตจริงเหมือนกัน เพราะวิธีที่ดีที่สุดที่คือ การพูดว่า ‘เอาอย่างไรดี’ ต่อหน้าผู้ที่กดขี่เรา หรือจะเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน แทนที่จะต้องมานั่งอาลัยอาวรณ์แก่ชีวิต คีย์หลักของเรื่องนี้จึงเป็น ‘พุ่งชน Slay!’ ทำงานเพื่อเอาชีวิตรอดแต่ก็ไม่ลืมที่จะใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน
หากคุณคุ้นเคยกับผลงาน American Horror Story, Glee and Feud ของ Murphy แล้ว คุณจะรู้ว่า สามารถคาดหวังอะไรจาก Pose ได้บ้าง เพราะซีรีส์เรื่องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายความหรูหรา เว่อๆ และดราม่าจัดๆ ตามแบบฉบับตัวมารดา นอกเหนือจากการแฝงข้อความทางการเมืองที่สำคัญเข้าไปในบทของตัวละคร ผ่านการใช้ชีวิตของ LGBTQ+ ในยุคก่อนแล้ว Pose ยังแสดงความเคารพต่อผู้คนที่มีเสน่ห์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของฉากงานบอลรูม ด้วยการเล่าเรื่องในแต่ละตอนที่จะทำให้คุณต้องเอื้อมมือหยิบทิชชู่ กระโดดโลดเต้น หรือบางครั้งก็อาจจะทั้งสองอย่าง ท่าเต้นที่ออกแบบได้อย่างน่าทึ่ง การเต้นโว้ก การลิปซิงก์ และการทะเลาะวิวาทแบบมีชั้นเชิงผ่านการบรรเลงเพลงบัลลาด ดิสโก้แบงเกอร์ และเพลงป๊อป ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ แฟชั่นตลอดทั้งซีรีส์ ที่ทั้งโดดเด่น และให้กลิ่นอายของความเป็นกูตูร์สุดๆ การแข่งขันที่หรูหราเป็นภาพที่สวยงาม พอรวมหลายองค์ประกอบเข้าด้วยกัน แค่รับชมซีรีส์ Pose ไปเพียง 20 นาทีก็รู้สึกคุ้มเวลามากแล้ว
เรื่องราวที่เกี่ยวกับสาวข้ามเพศผิวสี โดยที่ไม่เกี่ยวกับบาดแผลทางใจ เป็นสิ่งที่หายากมาก ในสังคมที่มี Hate Crime และความเกลียดชังผู้ที่มีเพสหลากหลาย ทุกอย่างดูจะเป็นเรื่องยาก ที่เราจะได้รับอะไรเกี่ยวกับสาวประเภทสองผิวสี โดยที่ไม่เกี่ยวกับการบาดเจ็บ หรือถูกทำร้าย จากในเรื่อง แม้พวกเธอจะผ่านอะไรมากมาย แต่เธอก็ยังคงหาวิธีสัมผัสความสุข พวกเธอยังคงเติบโต และสร้างชุมชนที่เต็มไปด้วยความรัก เสียงหัวเราะ และความเคารพ และพวกเขาสนับสนุนซึ่งกัน และกัน นี่คือหัวใจของ Pose อย่างที่บลังก้าบอกว่า บ้านของเธอ ‘ยินดีต้อนรับวิญญาณที่หลงทาง’ คล้ายว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้พาเราเข้าไปสัมผัสหัวใจ และบอกใบ้เป็นนัยๆ ให้ผู้ชมที่ต้องการเซฟโซนแก่ตัวเอง ได้มีเพื่อนที่คอยให้กำลังใจ และเป็นเวลาดีๆ หลังจากซีรีส์เรื่องนี้จบลง