จากความรุ่งโรจน์ของหนังแนวที่เคยนำตลาดในช่วงปลาย 1980s จนถึงช่วงปลาย 2000s สู่การถูกมองว่าเป็นหนังราคาถูกจนเกลื่อนตลาด หนังแนว Romantic Comedy ได้ผ่านการพัฒนาจากยุคสู่ยุคอย่างน่าสนใจ และดูเหมือนวิวัฒนาการนั้นกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
หนังรอมคอมอยู่กับวงการบังเทิงมาตลอดหลายทศวรรษอย่าง It Happened One Night, 1934 และ Roman Holiday, 1953 จนได้รับความนิยมไม่ตกมาตลอดแถมยังไปถึงจุดพีคของหนังแนวนี้ในช่วง 90s จนถึงปลาย 2000s อย่าง Pretty Woman, 1990 และ The Proposal, 2009 แต่อะไรกันที่ทำให้ความสนใจ และรายได้ของหนังแนวนี้ตกจาก 7% ของหนังทั้งหมดในช่วงปีกลางปี 2000s เหลือไม่ถึง 1% ในปี 2015 (อ้างอิงจาก The Numbers)
หนัง Rom-Com เป็นทั้งตัวแทนของความรัก ความอบอุ่น ความหวัง หลายคนอาจจะพูดได้ว่าหนังเหล่านี้เสนอโลกอีกใบให้เราได้หลงไปกับมัน แต่หนึ่งสิ่งที่อาจจะเป็นตัวส่งผลให้ความคิดเห็นของหลายคนเปลี่ยนไปต่อหนังแนวนี้คือความ “ใสซื่อ” ของมุมมองในโลกเหล่านั้น
ถึงแม้ว่ายุค 2000s จะเป็นยุคทองของ Rom-Com แต่ในขณะเดียวกันช่วงปีนั้นก็เป็นยุคที่ Hollywood เผยให้เห็นความเละเทะของตัวเองเช่นกัน การมาของอินเตอร์เน็ตทำให้ข่าวฉาวเกิดง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันข่าวฉาวเหล่านั้นก็ขายง่ายขึ้นเช่นกัน พฤติกรรมไม่ดีของนักแสดงหลายคนอาจจะทำให้ผู้ชมเห็นความเป็นจริงของวงการบังเทิงจนส่งผลให้มันอาจจะทำลายภาพความใสซื่อของหนังรักไปเลย และผู้คนหันไปเสพ Reality TV และ TV Series มากขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าเราลองค้นในกูเกิ้ลดูจะพบว่าจำนวนหนัง Rom-Com ก็ไม่ได้ลดลง ทำไมถึงคิดว่าหนัง Rom-Com ถึงดับไปหล่ะ? หลังปี 2010 หนัง Rom-Com ในตลาดมีจำนวนมากขึ้น จากความสำเสร็จมากๆ ของมันในช่วงปีก่อนหน้า ทำให้โปรแกรมฉายเต็มไปด้วยหนัง Rom-Com ที่ถ่ายทำอย่างรวดเร็ว หนังสำหรับพลักดันดาราหน้าใหม่ รวมไปถึงหนังฉายทางทีวี หรือที่ในวงการเรียกกันว่าหนัง Hallmark (ช่องทีวีที่เรื่องชื่อด้านโปรดักชั่นหนังที่ทุนต่ำ งานด่วน และคุณภาพไม่สูง)
สาเหตุต่อมาคือเทรนด์ของการทำหนัง Remake/ภาคต่อ ที่ผุดขึ้นมาอย่างมากในช่วงหลังปี 2010 รวมไปถึงมาของหนังซูปเปอร์ฮีโร่ ความสำเร็จของหนังจากค่ายอย่าง Disney/Marvel ทำให้สตูดิโอต่างๆ หันไปพลักดันหนัง Action ฟอร์มยักษ์ด้วยความหวังที่หนังของพวกเขาจะทำเงินพันล้านทุกเรื่องแล้วหนังในหมวดอื่นๆ ก็ถูกสตูดิโอให้ความสำคัญน้อยลงรวมถึง Rom-Com เองด้วย
ด้วยสาเหตุเหล่านี้ทำให้ตลาดเต็มไปด้วยหนังรักพล็อตเดิมๆ เรื่องซ้ำๆ กับความสัมพันธ์ที่เคยเห็นกันมาแล้ว รวมถึงสิ่งที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้ว่าหนังเหล่านี่มันมีความใสซื่ออยู่เต็มไปหมดทำให้หลังจากผู้ชมได้เห็นความน่ารัก และความสุขของคู่พระนางบนจอติดต่อกันมาหลายปีความเหนื่อยล้ามันย่อมตามมา รวมทั้งพฤติกรรมของคนดูที่เปลี่ยนไปซึ่งส่งผลให้ความเห็นของคนดูทั่วไปมองหนัง Rom-Com ในรูปแบบหนังที่ไม่จำเป็นต้องดูในโรงภาพยนตร์
แต่ถ้าเป็นอย่างที่บอก จำนวนหนังรักไม่ได้ลดลง ทำไมถึงเรียกว่ามันหดหายไปจากตารางฉาย? หนังรักที่เหลือไปอยู่ที่ไหน? คำตอบคือ Streaming Platform หลังจากการเร่งผลิตของ Hallmark ที่ถึงแม้จะมีจำนวนมาก แต่ด้วยการที่ใช้ทุนน้อย ทำให้ถ้าแม้หนังจะไม่ได้รับความนิยม แต่หนังก็ยังทำเงินอยู่ รวมถึงความต้องของตลาดที่ยังกลับไปดูหนังเก่าๆ ทำให้ช่องทางเสพสื่อรูปแบบใหม่อย่าง Netflix หรือ Streaming อื่นๆ เลือกที่จะลงทุนกับ Rom-Com มากขึ้นหลังปี 2015 “เรามีบทหนังรักเข้ามาเสนอเยอะมาก เพราะคนอื่นเขาไม่ทำกันแล้ว” Matt Brodlie, อดีต Film Executive ของ Netflix บอกกับ The Hollywood Reporter เมื่อปี 2018
อีกส่วนที่ทำให้หนัง Rom Com ยังคงอยู่ได้คือการปรับตัว ในขณะที่หนังรักในตลาดต้องสู้กับหนังฟอร์มยักษ์ หรือหนังภาคต่อ หนังรักถูกปรับเปลี่ยนการนำเสนอเป็นทีวีโชว์ Jane the virgin, Crazy Ex-Girlfriend, Master of none เป็นตัวอย่างของการปรับตัวอย่างดีในยุคที่คนเบื่อหนังรักของปี 2010s การปรับรูปแบบการนำเสนอนี้ช่วยให้คนดูสามารถติดตามเรื่องราวได้ง่ายขึ้น นานขึ้น และอินมากขึ้นจากโครงสร้างของเรื่องราวที่ไม่ใช่การเริ่ม กลาง แล้วจบ แต่คือการติดตามเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครที่มีมิติมากขึ้น มีเรื่องราวมากขึ้น มีเหตุการณ์มากขึ้น รวมถึงความหลากหลายของตัวเลือกในตลาดที่เปิดรับมากขึ้นเช่นเดียวกัน
การปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอของ Rom-Com นั้นทำให้ผู้สร้างหนังได้รู้ว่าต่อไปนี้ Rom-Com จะเป็นแค่หนังรักเอาฮาไม่ได้แล้ว คนดูเห็นความแตกต่างในโลกมากขึ้น ทำให้หนัง Rom-Com ต้องผสมสะสารอย่างเข้าไปเนื่องจากคนต้องการเนื้อหามากขึ้น ทำให้ในช่วงปี 2018 เป็นต้นมาเราได้เห็นหนัง Rom-Com ที่มีมิติมากขึ้นอย่าง Set it up, Always be my maybe, Long Shot หรือหนังที่ผสมผสานเนื้อหาอื่นๆ มุมมองใหม่ๆ และความหลากหลาย เข้าไปมากขึ้นอย่าง Crazy Rich Asian, The Big Sick, Bros, Happiest Season หนังเหล่านี้ไม่ได้เสนอโลกอันใสซื่อให้เราเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้เราได้เรียนรู้หลายๆ อย่างเกี่ยวกับตัวเอง และคนอื่นๆ ในสังคมอีกด้วย
ด้วยความสำร็จของ Rom-Com ในปี 2023 อย่าง No Hard Feelings, Red, White, and Royal Blue และอีกมากมาย ที่นอกจากกระแสจะดีมากๆ กับคนดู ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลต่างๆ อีกด้วย แถมปี 2024 ก็เปิดตัวมาอย่างแข็งแรงด้วย Anyone but You ดูเหมือนกระแสหนัง Rom-Com กำลังกลับมาอีกครั้ง
EQ Movie Highlight
- Always Be My Maybe (2019)
- Let Me Eat Your Pancreas (2017)
- Somebody I Used to Know (2023)
- French Kiss (1995)
- Submarine (2010)
- The Way He Looks (2014)
- Enough Said (2013)
- The Big Sick (2017)
- Ruby Sparks (2012)
- The Worst Person in the World (2021)
TV Show
- Crazy Ex-Girlfriend (2015)
- My Brother's Husband (2018)
- Looking (2014)
- Business Proposal (2022)
- Lovesick (2014)
อ้างอิง