เรียกได้ว่าเป็นวงดนตรีอินดี้ ที่สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรี ด้วยบทเพลงบนดาวเคราะห์ดวงเล็กๆ ที่ยังคงโคจร และขับเคลื่อนจนเติบโตอยู่ เราจึงอยากชวนทุกคนมาร่วมเดินทางบนเส้นทางดนตรีที่ ‘เอ’ – ฐิติภัทร อรรถจินดา (ร้องนำมือ/กีตาร์), ‘ดอย’ – อภิวิชญ์ คำฟู (มือกลอง) และ ‘ยี่’ – ชยปัญญ์ จันทรานุสนธิ์ (มือเบส) จาก ‘Safeplanet’ ได้เลือกแล้ว
Safeplanet ของทั้ง 3 หนุ่ม เป็นดาวเคราะห์แห่งบทเพลงอีกดวงหนึ่ง ที่ยังคงเฉิดฉาย เปล่งประกาย ส่องสว่าง และสร้างความสุนทรีย์ด้วยเสียงเพลงจนติดหูใครๆ มาแล้วหลายต่อหลายเพลง ทั้งอินโทร และเมโลดี้กีต้าร์ที่โดดเด่น บวกกับเสียงนุ่มๆ เย็นๆ ของนักร้องนำอย่างเอ ผสานกับเบส กลอง และเครื่องดนตรีอื่นๆ แสนเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้ยังคงขับเคลื่อนอยู่ในจักรวาลแห่งเสียงเพลง และโคจรรอบโลกต่อไป พร้อมหมู่ดาวเคราะห์ดวงน้อยๆ อย่าง ‘Safeboy & girl’ ที่รายล้อม พร้อมซัพพอร์ต และอยู่เคียงข้างพวกเขาเสมอ
Safeplanet เริ่มต้นได้อย่างไร?
เอ: เริ่มจาก 'เอ' กับ 'ดอย' ทำวงเก่ากัน ตอนนั้นเราทำวง เป็นนักดนตรี และเป็นนักศึกษาที่เรียนแจ๊ส ทำวงเพื่อประกวด Melody Of Life ทำวงชื่อ ‘ShadowFlare’ แล้วทุกคนก็แยกย้ายกัน เหลือเอกับดอย เลยชวนมาทำวงใหม่ด้วยกัน เลยมาทำวง Safeplanet
ดอย: ตอนแรกก็เริ่มทำ 2 คน เพลงแรกที่ออกมาคือ 'กล่องดำ' เราต้องหามือเบสไปอัด เลยเจอ 'ยี่' ซึ่งเป็นรุ่นน้องที่มหิดล
เอ: แรงบันดาลใจมาจาก ช่วงนั้นออสซี่อินดี้ อย่างวง alt-J, Tame Impala หรือ last dinosaurs ก็เป็นอิทธิพล และกระแสของวงพวกนั้นมาแรง เป็นวงที่เล่นดนตรีแปลกๆ เราเลยรับตรงนั้นมาเต็มๆ เพราะเราอยากทำเพลงป๊อบที่แปลกๆ
“Safeplanet เหมือนเป็นแกลเลอรี่ของเราครับ สมัยตอนยังไม่ทำวงเรารู้สึกว่า การเล่นดนตรีมีข้อเปรียบเทียบเยอะ มันมีกรอบเยอะ เราเล่นคัฟเวอร์ เล่นเหมือนต้นฉบับ เล่นตามร้าน แม้กระทั่งเพลงแจ๊สก็มีข้อติ-ชมตลอด ซึ่งเรารู้สึกว่า ดนตรีไม่ควรจะมีฟีดแบ็กเท่าไร แล้วแต่คนเล่น การมี Safeplanet เหมือนเราสร้างแกลเลอรี่แขวนภาพอะไรก็ได้ เราจะแสดงงานอะไรก็ได้ ไม่มีผิด-ถูกครับ มันเลยรู้สึก ‘Safe’ สำหรับเรา เลยเป็นชื่อนี้ เหมือนเป็นโลกของเราที่จะปล่อยอะไรลงไปก็ได้” – เอ
จะนิยาม Safeplanet ว่าเป็นวงประเภทไหน?
ดอย: Indy Pop ครับ จริงๆ เราชอบเมโลดี้ที่ Catchy แต่เรามีการผสมผสานหลายอย่าง ทั้งเสียงคอรัส Ambient มีเสียง Percussion ซึ่งเป็นสิ่งที่เรา 3 คนชอบ เอามารวมกัน อาจผสมหลายอย่าง ทั้งแจ๊ส ร็อก คือ เอาส่วนที่ชอบมาผสม
เอ: อินดี้ที่ไทย เขาจะเข้าใจ และตีว่า ‘เด็กแนว’ แต่อินดี้ของเราคือ Pure Indy เราทำกันเองจริงๆ ตั้งแต่ทำเพลง อัดเพลง ตอบแฟนเพลง หรือการสื่อสาร เราจะทำด้วยตัวเองครับ อยากให้นิยามว่า วงเราเป็นอินดี้แหละ แต่ข้างหลังเราจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ป๊อป ร็อก แจ๊ส มีหมดครับ
จุดเด่นของวง Safeplanet คืออะไร?
เอ: พาร์ทดนตรีหลัก กลอง กีตาร์ เบส เป็น 3 ชิ้นที่ทำงานด้วยกันโดยตรง กลองมีอิทธิพลของ Word Music เป็น Afrikaan Beat เป็น Jazz เป็น Samba บ้าง เอามาผสมกับ Pop ที่ทุกคนน่าจะย่อยง่าย มีกีต้าร์เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นกีต้าร์ลีดที่ออแกนิก และเป็นลีดโน้ตที่เป็น Jamaican หน่อย ถูกซัพพอร์ตด้วยเสียงเบสของยี่ ด้วยความที่ผมร้องเสียงหลบ เพราะเริ่มจากการเป็นมือกีตาร์มาก่อน เหมือนร้องเพลงไม่ค่อยเป็น แต่รู้ว่าใช้ช่องเสียงนี้ในการคอรัสบ่อยๆ
“ผมว่าเสียงกีต้าร์ เพราะเป็นตัวเล่าเรื่อง คือเราไม่มี Lead หรือมีกีต้าร์เป็นโครงหลักใหญ่ ถ้าเป็นบีทกลองจะมีความเป็น Percussion ผสม และมีพวกเสียงคอรัสที่เยอะ” – ดอย
เนื้อหา และการนำเสนอเพลงของ Safeplanet เป็นแบบไหน?
ดอย: ผมว่าหลายเรื่อง แรกๆ อาจเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องที่เรารู้สึกในช่วงขณะนั้น มันก็มีหลายเรื่อง ทั้งให้กำลังใจ ช่วงตามหาตัวเอง มันมีหลายแบบ แล้วแต่ว่าเรารู้สึกอย่างไร
เอ: มักจะตั้งจากความรู้สึก ณ เวลานั้น ที่วงกำลังรู้สึกว่าเราอยากสื่อสารแบบไหน เพราะเราไม่ได้ตั้งโจทย์ว่าต้องทำเพลงอกหัก หรือเพลงรัก เพื่อให้ดัง เราใช้ ‘Coming of age’ การเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นสู่วัยรุ่นตอนปลาย เล่าเรื่องการเดินทางพวกนั้นมากกว่า ความอึดอัดในใจของเราที่ต้องแก้สมการตลอดเวลา จะนำเสนอความรู้สึกที่วงรู้สึกมากกว่า ณ เวลานั้น
Safeplanet ใช้เวลาทำแต่ละเพลงนานเท่าไร?
ดอย: จริงๆ มีทั้งเพลงที่นาน และไม่นานครับ ช่วงแรกๆ นาน แต่พอทำงานมาสักพัก เราเริ่มรู้ว่า Process มันมีอะไรบ้าง มันก็จะเร็วขึ้น เฉลี่ยเพลงหนึ่งถ้าทำจริงๆ ไม่ถึง 1 เดือน
เอ: และไม่ต่ำกว่า 1 เดือนด้วยครับ มีบางเพลงที่ทำเร็วมาก อย่าง 'พริบตา' แต่ก็ไม่บ่อย ส่วนใหญ่เดือนหนึ่งถึงเดือนครึ่ง ที่เร็วสุดที่ทำได้คือ 1 อาทิตย์ครับ ขั้นตอนการทำงาน เริ่มจากทำเดโม่ที่บ้านเอก่อน ส่วนใหญ่ทุกคนจะแยกย้ายกันอยู่แต่ละบ้านเพื่อคิด Material แล้วเอามาแชร์กัน มักจะเป็นที่บ้านผม นัดกันอาทิตย์ละครั้งถึง 3 ครั้ง แล้วเอามากางดูว่า ใครมีอะไรบ้าง คุยเรื่อง Direction คุยกันบ่อยๆ ว่า เราอยากไปอย่างไรต่อในสเต็ปต่อๆ ไป เพลงต่อไปจะเป็นอย่างไร 2 เพลงต่อไปจะเป็นอย่างไร ทั้งอัลบั้มเรามองภาพอะไร พอเป็นเดโม่ที่สมบูรณ์จึงไปห้องอัดจริงๆ
อะไรที่ทำให้เพลงของ Safeplanet เข้าเส้น หรือโดนใจคนฟัง?
เอ: ผมว่า ‘ความจริงใจ’ ครับ เพราะคนสัมผัสได้ว่า เราซื่อ เราจะเล่าเรื่องด้วยภาษาที่ไม่ได้ปรุงแต่งมากมาย ออกมาจากสิ่งที่เรารู้สึก และเราเป็นคนพูดแบบนั้น เราพยายามทำให้เพลง Relate กับความเป็นตัวตนของเรา
ดอย: ดนตรีของวงเราค่อนข้างเฉพาะทาง มีแต่ Safeplanet ที่เป็นแนวนี้ ไม่ได้ทับทางใคร และไม่มีใครเหมือน กลุ่มแฟนเพลงเลยเหนียวแน่นด้วย
เพลงไหนของวง Safeplanet ที่คิดว่ายากที่สุด?
ดอย: ผมว่าเพลง 'กล่องดำ' ครับ ตอนนั้นพวกเรายังใหม่ทุกอย่าง เพิ่งแต่งเพลงได้ เพิ่งเข้าห้องอัด ซึ่งเราเพิ่งเห็นกระบวนการ เพราะเราไม่รู้อะไรเลย เราไปด้วยใจ และเพิ่งรู้ว่าต้องอัด และร้องหลายไลน์ ซึ่งรายละเอียดมันเยอะ
เอ: เราใหม่ แต่เราเอาจริงตั้งแต่เพลงแรก เราตั้งใจ และทุ่มเทกับสิ่งนี้มาก ถ้ามันไม่ดีจริงๆ เราจะไม่ปล่อย ใช้เวลา 2-3 เดือนกว่าจะเสร็จ ไปห้องอัดถี่มากๆ ถี่แบบเกินไป เกือบ 10 ครั้ง อัดร้องหลายวัน ทำไม่ได้ด้วยครับ เพราะตอนนั้นยังเด็กด้วย ตอนเข้าห้องอัดเลยเป็นอะไรที่ยากสำหรับเรา
“กล่องดำ คือเพลงแจ้งเกิดวงที่เป็นตัวตนของเรา แต่ถ้าแมสจริงๆ คือ 'คำตอบ' ซึ่งเป็นเพลงที่ค่อนข้างเปลี่ยนชีวิตวงไปเลย ก่อนหน้าทำเพลงคำตอบ เรามีเล่นแค่ Live House ที่ๆ เป็นอีเวนท์เฉพาะทาง พอเพลงคำตอบออกมา ทำให้เราได้ไปทุกที่ ทั้งร้านเหล้า เฟสติวัล และอื่นๆ” – เอ
เพลงที่ง่ายที่สุดคือเพลงอะไร?
เอ: น่าจะไม่มีครับ (หัวเราะ) เพราะเราทุ่มเทในระดับเดียวกันทุกเพลง ไม่มีเพลงไหนที่รีบๆ ทำ ทุกเพลงน่าจะผ่านการบ่มมานานพอสมควร จนกว่าเราจะปล่อยมันไป เราต้องแน่ใจว่ามันอร่อยก่อนครับ ก็เหมือนไวน์ครับ (หัวเราะ)
1 เพลง ที่บ่งบอกความเป็น Safeplanet คือเพลงอะไร?
ดอย: 'ดินแดน' ครับ เพราะด้วยเนื้อหา ด้วยดนตรี มันมีทรัมเป็ตด้วย ผมว่าเพลงนี้มันผสมผสานหลายอย่าง มันมีรายละเอียดดนตรีหลายอย่าง มีกีต้าร์ลีด มีกลองเปลี่ยนจังหวะจากช้าไปเร็ว
เอ: ดินแดนเป็นเพลงที่ทำลายฟอร์มของ Safeplanet เป็นเพลงแรกที่มีเวิร์ส แล้วก็ซ้ำเวิร์ส แล้วกลับไปพรีฮุคแต่ไม่มีฮุค แล้วก็ไปท่อนเร็วเลยครับ เป็นเพลงในแง่ของโครงสร้างเพลงที่ทำให้เรารู้อะไรขึ้นมากเยอะ แต่ผมให้เพลง 'โอยา' เพราะเป็นเพลงแรกๆ ที่รู้สึกว่า มันแปลกดี เป็นเพลงแรกที่รู้สึกภูมิใจ และดีกับมันมากๆ
ยี่: 'ข้างกาย' ครับ เพราะเป็นเพลงที่ลีดกีต้าร์ที่เป็น Identity ของวง ฟังแล้วคนบอกว่าฮีลใจ และเพลงนี้มี Percussion เยอะ บ่งบอกถึงความเป็น Safeplanet ครับ
https://youtu.be/A34ohScsNFc
'ปล่อยมือ (The End)' มีที่มาที่ไปอย่างไร?
ดอย: เพลงนี้ได้มาช่วงที่เป็นโควิด แล้วผมก็เปิดให้เพื่อนฟัง ทุกคนก็โอเค เลยเริ่มเช็คจากตรงนั้น ผมทำมา แล้วเอก็มาแก้หลายๆ จุด แล้วยี่ก็มาช่วยเรียบเรียง พอเราโอเคกับเพลงนี้ เราก็ทำด้วยกัน ซึ่งเพลงนี้ทำมาประมาณปีหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งมีเวลามาทำด้วยกันช่วงนี้ เพราะเราอยากจะปล่อยเพลงก่อนคอนเสิร์ตใหญ่ แล้วมีเดโม่นี้ที่ใกล้เป็นรูปเป็นร่าง
เอ: ช่วงโควิด เป็นช่วงที่เราค่อนข้างปลงกับหลายๆ อย่าง เราไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเล่นดนตรีอีกหรือเปล่า เราไม่ค่อยมั่นใจกับอนาคตตัวเอง เพลงที่ออกมาช่วงนั้นเลยรู้สึกปลงๆ ถ้าเราปล่อยมือจากสิ่งนี้ไป มันก็อาจเกิดขึ้นได้ เริ่มจากดอย แล้วเอา Material มาช่วยกันเล่าอีกที
เบื้องหลังการทำเพลง 'ปล่อยมือ (The End)' เป็นอย่างไร?
ยี่: ประมาณเดือนหนึ่งครับ แต่เพลงนี้นานตรงบ่มเนื้อเพลง
เอ: อายุเพลงจริงๆ ก็เป็นปีครับ แต่ยังอยู่ในถังคัดแยก แต่เราเพิ่งไปหยิบมันขึ้นมา เพราะรู้สึกว่ามันได้แล้ว ประมาณเดือนหนึ่งสำหรับอัด และถ่ายเอ็มวีครับ
ยี่: เอ็มวีก็ทำไม่นาน แต่วางแผนล่วงหน้านาน เพราะตั้งแต่เราทำเพลงไม่เสร็จ เราได้คุยกับภีมที่เขาทำไฟ คือวางแผนแล้วว่าจะให้เขาทำ เราวางไว้หมดแล้วว่าจะทำประมาณไหน พอเริ่มงานแล้ว ปล่อยภีมทำออกมาแล้ว โอเคครับ
อยากจะ 'ปล่อยมือ' จากอะไรบ้างไหม?
ดอย: ‘ความคิดมาก ความไม่มั่นใจ’ หมายถึงว่า ไม่อยากให้มันอยู่ในตัวมาก ตอนนี้ก็ปล่อยไปได้เยอะแล้วครับ
เอ: ‘ความ Social Anxiety’ ของผมครับ จะรุนแรงใช้ได้ทุกครั้งที่ขึ้นเวที ตอนนี้ก็ยังเป็นครับ เพราะธรรมชาติของตัวเองที่ไม่ได้เป็นนักร้อง ก็ยังต้องสู้อยู่ แต่ก็ดีขึ้นทุกวันครับ อยากจะปล่อยความกังวลให้มัน 100% ให้มัน Care Free ขึ้นเวทีด้วยความสนุกสนาน ทุกวันนี้ก็สนุกครับ แต่แค่มี Anxiety เยอะเป็นพิเศษ มันก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิต เหมือนเป็นคนเก็บกด หรือเครียดไปเรื่อยๆ
ยี่: ผมว่าน่าจะคล้ายๆ พี่ดอยเรื่อง ‘ความกังวล’ บางทีผมอาจจะกลัวคนอื่นคิดกับเราไม่ดี อยากปล่อยมือจาก ’ความคิดของคนอื่น’ ให้มันมากขึ้นครับ
คอนเสิร์ต ‘Safeplanet BON VOYAGE The First Arena Concert’ ที่เพิ่งผ่านไปเป็นอย่างไรบ้าง?
ยี่: ‘BON VOYAGE’ เป็นชื่อแทร็กแรกของอัลบั้มที่ 2 ตอนแรกที่ฟัง และพี่เอเขียนเพลงนี้เป็นเดโม่ ฟังแล้วทุกคนคิดตรงกันว่า เพลงนี้ต้องเป็นเพลงเปิด ด้วยความยาวเพลงที่ไม่นานมาก ตอนแรกเราก็คิดกันว่า ชื่อไหนเหมาะสุด เหมือนทุกคนมาลงเอยที่ชื่อ BON VOYAGE เพราะเป็นเพลงเปิด และจะพาทุกคนไปต่อในคอนเสิร์ต
เอ: เราตั้งใจทำเพลงนี้เป็นเพลงเปิดอัลบั้ม 2 ก็เท่ากับเราสรุป Chapter 1 ด้วยการเดินทางที่สวยงาม เราชอบคำว่า BON VOYAGE เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า เดินทางโดยสวัสดิภาพ เราเลยใช้มันเป็นชื่อคอนเสิร์ตนี้ด้วย เพราะวงเรา Relate กับการเดินทาง การเดินทางโดยสวัสดิภาพ ทั้งเริ่มและสรุป มันได้ทั้ง 2 ความหมายครับ ก็เลยได้ชื่อนี้มา ส่วนเกิดขึ้นได้อย่างไร น่าจะมาจากหลังเวทีสักงานที่ทีมผู้จัดมา Approach วงว่า อยากทำโปรเจกต์ร่วมกัน ตอนแรกตั้งใจว่าจะทัวร์หลายๆ จังหวัด โดยยกโปรดักชั่นไป พอคิดจนตกผลึกก็เลยคิดว่า ทำไมไม่เรียกคนมารวมที่เดียวกันในที่ใหญ่ๆ น่าจะเจ๋งกว่า สุดท้ายเราก็ลงที่งานไซส์ 5-6 พันคน แล้วจัดวันเดียว เหมือนวันรวมญาติ ก็เลยเป็นที่มาว่า ทำไมต้องธันเดอร์โดม
รู้สึกอย่างไรกับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของวง?
ยี่: รู้สึกดีครับ แต่จริงๆ เคยมีอีกงานที่เราเคยจัด ชื่อ ‘NEONPLANET Concert’ อันนั้นเป็นคอนเสิร์ตเต็มในเวอร์ชั่นที่เรายังใหม่ ณ ตอนนั้น เลยเรียกครั้งนี้เป็นครั้งแรกแทน
เอ: เพราะเราไม่อยากเรียกครั้งนั้นเป็นครั้งแรก (หัวเราะ)
ดอย: เป็นครั้งที่ 0.5 เพราะจริงๆ เราเคยย้อนกลับไปว่า อยากได้โอกาสของคอนเสิร์ตครั้งนี้กลับมานานมากแล้ว แล้วมันก็มีโควิดด้วย จริงๆ คุยกันตลอดว่า สักวันเราต้องจัดงาน เหมือนตอนนี้เราเรียนรู้อะไรหลายอย่าง แล้ว เราพร้อมแล้ว ดันมีโควิด เลยถูกยืดเวลาออกไป
เอ: ช่วงนั้นเลยไปเก็บประสบการณ์ แล้วรู้สึกว่า พร้อมสู้กับธันเดอร์โดม เราอยากลุยแล้ว และแฟนๆ เรียกร้องหลายครั้งแล้วว่าให้จัดงานเดี่ยว เขาอยากไป วงเลยรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วเหมือนกัน งานนี้ทำให้เรารู้อะไรหลายๆ อย่าง โตขึ้นในหลายๆ แง่ ทั้งชีวิต ความรับผิดชอบ การวาง Flow วาง Sequence ต่างๆ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ถ้าไม่นับเรื่องบัตร หรือเรื่องเงินเลย ผมว่ามันคุ้มมาก แค่ประสบการณ์กับสิ่งที่แฟนเพลงเราฟีดแบ็กกลับมา เขาค่อนข้างชอบ และแฮปปี้ครับ
ยี่: งานนี้ค่อนข้างภูมิใจ เหมือนวงค่อนข้างจะทำกันเองหลายๆ อย่าง มีภีมมาช่วย และ Process ค่อนข้างเป็นวงเยอะมากๆ สนุก
สำหรับคนที่พลาดคอนเสิร์ตครั้งนี้ สามารถติดตามทางไหนได้อีกบ้าง?
เอ: เราน่าจะลง YouTube เป็นโชว์ แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศแบบนี้ รอบหน้าก็ต้องมาครับ ต้องมาเจอก