ในนิยายโรแมนติก ที่ต่างพากันโชว์ภาพนางเอกสามัญชนธรรมดาแต่งงานกับเจ้าชายและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป แต่ในเรื่อง 'Spencer' นี้ทำให้เห็นแล้วว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้
Spencer เป็นภาพยนตร์ดราม่าแนวจิตวิทยาเชิงประวัติศาสตร์ของอังกฤษออกฉายปี 2021 กำกับโดย พาโบล ลาร์เรน (Pablo Larraín) จากบทภาพยนตร์โดย สตีฟเวน ไนท์ (Steven Knight) ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานที่ ‘เจ้าหญิงไดอาน่า’ (รับบทโดย คริสเตน สจ๊วร์ต) ต้องทนในช่วงคริสต์มาสที่แซนดริงแฮม การแต่งงานของเธอกำลังจะพังทลายลง และเธอก็จมอยู่กับความโศกเศร้า และความยุ่งเหยิงเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวของสามีกับคามิลลา ปาร์กเกอร์ โบว์ลส์
สเปนเซอร์ไม่ใช่ชีวประวัติที่เล่าเรื่องราวทั้งหมดของเจ้าหญิงไดอาน่า คนดูจะไม่เห็นเธอถูก ‘เจ้าชายชาร์ลส’ แสดงโดย แจ็ค ฟาร์ธิง (Jack Farthing) เกี้ยวพาราสี และเห็นงานแต่งงานอันวิจิตรบรรจงของเธอ ในทางกลับกัน ผู้กำกับพาโบล ลาร์เรนกลับเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปที่สามวันที่แสนทรหดและกดดัน ได้แก่ วันคริสต์มาสอีฟ วันคริสต์มาส และวันบ็อกซิ่งเดย์ ที่คฤหาสน์แซนดริงแฮม ซึ่งเป็นที่ที่ราชวงศ์ได้ไปพักผ่อน ด้วยชะตากรรมที่โหดร้าย แซนดริงแฮมอยู่ตรงข้ามทุ่งหญ้าจากบ้านที่ไดอาน่าเติบโตขึ้นมา บ้านหลังเก่าของเธอตอนนี้ถูกขึ้นนั่งว่างเปล่า เก็บไว้เป็นความทรงจำ เธอจำวัยเด็กที่มีความสุขด้วยความรักและความอบอุ่นมากมาย ตอนนี้เธอรู้สึกติดอยู่ในนรก
“ไดอาน่า ต้องมีเธอสองคน” ชาร์ลส์บอกกับไดอาน่า “ตัวจริงของคุณ และคนที่พวกเขาถ่ายรูปด้วย”
แน่นอนว่า ‘สเปนเซอร์’ คือนามสกุลเดิมของไดอาน่า การเป็นชื่อภาพยนตร์ของ Pablo Larraín บ่งบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มองเห็นสิ่งต่างๆ จากมุมมองของเธอได้ละเอียดถี่ถ้วนเพียงใด แม้จะไม่ได้มากจนเกินไปจนทำให้เรารู้สึกโดนยัดเยียดให้รู้สึกว่า ‘เธอเป็นเหยื่อ’ สิ่งที่ฉลาดอย่างหนึ่งที่ผู้กำกับ และคนเขียนบททำคือการไม่เน้นสมาชิกราชวงศ์อื่นๆ ยกเว้นวิลเลียมและแฮร์รี่ ลูกชายของไดอาน่า (แสดงได้ดีมากโดย Jack Nielen และ Freddie Spry) ฉากที่น่าจดจำที่สุดในหนังเรื่องนี้ประกอบด้วยเด็กผู้ชายสองคน และแม่เล่นเกมใต้แสงเทียนในเช้าวันคริสต์มาสขณะที่ราชวงศ์ที่เหลือหลับใหล อย่างไหลลื่นและเป็นธรรมชาติมาก หรือในภาษาภาพยนตร์เขาจะเรียกช่วงนี้ว่า Magic Moment in movie แต่ฉากในเรื่องที่มีจุดประสงค์ที่ใหญ่กว่า และเศร้ากว่า นั่นคือ เน้นย้ำว่าราชวงศ์ที่เหลือเฉื่อยชาเพียงใดกับไดอาน่า เธอต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเพียงใดในราชวังที่ใหญ่โต และเพิกเฉยกับความรู้สึกของเธอ
'Spencer' เปิดฉากด้วยภาพทุ่งหนาวอันแสนงดงาม มันกำหนดโทนอารมณ์ และอุณหภูมิให้กับหนังเรื่องนี้ ยกเว้นฉากกับคนสนิท กับอีกหลายฉากกับ ‘แม็กกี้’ (รับบทโดย แซลลี่ ฮอว์กินส์) คนรับใช้คนโปรดของไดอาน่า เราจะเห็นได้ชัดเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ Mood&Tone เป็นตัวช่วยในการเล่าเรื่องเช่นกัน
ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักแสดงคริสเตนเพื่อกอบกู้โลก เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเวลาในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เธอนำจิตวิญญาณ และรูปลักษณ์ของเจ้าหญิงไดอาน่ากลับมายังโลกอีกครั้งในการแสดงที่แท้จริงอย่างน่าขนลุก ซึ่งรวบรวมจิตวิญญาณของลูกสะใภ้ที่กบฏที่สุดของพระราชวังบักกิงแฮม อีกทั้งนักแสดงทั้งหมดต่างก็น่าทึ่งมาก พวกเขาเข้ากันอย่างลงตัว และตอกย้ำตัวละครของพวกเขาได้เป็นอย่างดี นักแสดงสมทบที่โดดเด่นที่สุดคือ แซลลี่ ฮอว์กินส์ แสดงเป็นต้นเครื่องคนสนิทของเจ้าหญิงไดอาน่า แม้จะโดยรวมออกมาน้อย แต่เธอก็เก็บเรียบ และเป็นที่จดจำของคนดูได้ง่ายๆ เลยทีเดียว
เส้นเนื้อเรื่องที่คอยควบคุมความสัมพันธ์ และความเปราะบางของพฤติกรรมมนุษย์ คือสิ่งที่ผู้กำกับลาร์เรนให้ความสำคัญ และโชว์ให้เราเห็นในเรื่องมาโดยตลอด แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีอารมณ์ขันบ้าง แต่ต้องยอมรับเลยว่า 'Spencer' เป็นภาพยนตร์ที่ตึงเครียดจริงๆ ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เอาไว้รับชมสบายๆ คลายเครียด ด้วยเพลงประกอบ ฉากต่างๆ ที่ใหญ่โต แต่มีคนยืนอยู่คนเดียว ทำให้คนดูแอบรู้สึกอัดอัด และรู้สึกร่วมไปกับตัวละครด้วย แต่ถ้าหากต้องการดูเพื่อรับชมในมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับเจ้าหญิงไดอาน่า 'Spencer' ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่นักเขียนอยากแนะนำเช่นกัน