เมื่อขวบปีที่แล้ว เราได้พูดคุยกับ ’Tsunari’ (เอริก้า สุนารี คัมมิ่งส์) แร็ปเปอร์สัญชาติไทย-ตรินิแดด ในวันนี้เธอกลับมาอีกครั้งกับผลงานซิงเกิ้ลใหม่ ‘Parachute’ ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่เราจะได้นั่งคุยกับเธออีกครั้ง กับเรื่องราวตลอดหลายปีที่ผ่านมาของการทำงาน มุมมองของชีวิตที่เปลี่ยนไปจากการเติบโต พร้อมเปิดเรื่องราวที่เชื่อว่าหลายคนยังไม่เคยรู้มาก่อน และวันนี้ EQ จะพาไปทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้น
กว่าจะมาเป็น ‘Tsunari’ ในทุกวันนี้
“พื้นเพก็คือรีเป็นลูกครึ่งตรินิแดด-ไทย แต่ว่าโตที่โคราชเป็นส่วนใหญ่ของชีวิตเลย ในช่วงนั้น ที่ต่างจังหวัดก็จะไม่ค่อยมีลูกครึ่งผิวสีแบบรีสักเท่าไหร่ ซึ่งมันทำให้เราเจอประสบการณ์แตกต่างไปจากที่เคยเจอ มีทั้งดีและไม่ดี ในส่วนที่ไม่ดี ก็จะมีเรื่องของการกลั่นแกล้งกัน จำได้เลยว่ามันทำให้เราสูญเสียความมั่นใจ เรารู้สึกว่า “เฮ้ย มันผิดด้วยเหรอที่เราเกิดมาเป็นอย่างนี้” ช่วง 1-2 ปีกว่าที่เรียนอยู่ชั้นประถมฯ รีรู้สึกเสียใจว่าทำไมคนถึงต้องล้อเลียนในสิ่งที่พ่อแม่และพระเจ้าให้เรามาตั้งแต่เกิด มันไม่แฟร์สำหรับเรา แต่รีก็มาคิดได้ว่าเราจะสงสารตัวเองทำไม ทำไมต้องรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม พอคิดอย่างนั้นแล้วก็เปลี่ยนความคิดใหม่”
“ถึงแม้ว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ยอมรับ ไม่ชอบ หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่เราเป็น ก็ไม่เป็นไร”
“บนโลกนี้ยังมีอีก 7 พันกว่าล้านคนที่พร้อมจะยอมรับหรือว่าไม่ยอมรับเรา เอาง่ายๆ ว่าเราเป็นที่พึ่ง เป็นเพื่อนสนิท เป็นอันดับ 1 ของตัวเราเองค่ะ หลังจากนั้นรีก็มีความรู้สึกว่าสามารถใช้ชีวิตได้ดีขึ้น เริ่มมีความสุขกับทุกๆ สิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคหรือเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ รีก็สามารถฝ่าฟันไปได้ด้วยชุดความคิดนี้ เราเอาคำพูดที่ไม่ดีมาเป็นพลัง มาเป็นไฟให้เราใช้ชีวิตให้ดี ให้มีความมั่น แล้วก็วางแผนการใช้ชีวิตให้ดีกว่าที่เป็นอยู่”
“ด้วยความที่พ่อแม่ของรีค่อนข้างเป็น workaholic เขาก็เลยไม่ค่อยมีเวลามาให้คำปรึกษาสักเท่าไหร่ เราก็คิดว่า “โอเค พ่อแม่รักเรา เขาเป็นห่วงเป็นใยเรา แต่เราจะมาเป็นลูกโอ๋ลูกแหง่ไม่ได้” ก็เลยต้องเข้มแข็งเพื่อตัวเอง เราต้องคิดเสียว่า “Okay, you know what? Everything starts from yourself. Everything starts from within.” (โอเค รู้อะไรไหม? ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราเอง ทุกอย่างเริ่มขึ้นมาจากข้างใน) หลังจากนั้นเราก็ปลดล็อกตัวเองได้ค่ะ”
ใช้เวลานานไหม กว่าจะปลดล็อกตัวเองออกมา
“ใช้เวลาไม่นานค่ะ แต่ก็จะมีผีเข้าผีออกบ้าง มันจะมีเวลาที่เราคิดว่าตัวเองเข้มแข็ง ไปต่อได้ แต่บางครั้งเวลาผีออก คือเราก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ มีความรู้สึก แล้วรีก็เป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหวในบางครั้ง จึงไม่สามารถที่จะมีความมั่นใจ 100% ในทุกๆ สถานการณ์ได้ค่ะ มันก็เป็นธรรมดา ในเวลาที่รู้สึกไม่โอเค เราก็พยายามที่จะเอาสิ่งดีๆ มาล้างมันออกไป ทุกวันนี้ยังมีบ้างที่ผีเข้าผีออก อย่างวันนี้ก็นอยด์เมื่อตอนเช้า แต่พอมีคนเข้ามาคุยด้วยแล้วบอกว่าวันนี้มีงานอะไรบ้าง รีก็ปล่อยความรู้สึกที่ไม่ดีนั้นไป แล้วเตรียมตัวให้พร้อมค่ะ”
การเติบโตในหลากหลายประเทศส่งผลอะไรต่อความคิดของเราบ้าง
“เมื่อก่อนรีไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เดินทาง ได้คลุกคลีกับวัฒนธรรมหลากหลายแบบจากคนหลายๆ ประเทศนะคะ ซึ่งพอได้มาสัมผัสแล้ว มันทำให้เราเข้าใจมนุษย์ เข้าใจโลก เข้าใจวัฒนธรรม เข้าใจในสิ่งที่เราเคยไม่เข้าใจ แล้วก็ยอมรับสิ่งที่เราไม่เคยเจอ ไม่เคยสัมผัสมาก่อนค่ะ เพราะว่ารีคิดว่าการที่เราได้ไปเปิดหูเปิดตา มันจะทำให้เรารู้สึกว้าวว่าโลกนี้มันมหัศจรรย์ มันวิเศษมาก เพราะว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้มีเอกลักษณ์ในแบบของมันหมดเลย แล้วด้วยความที่ว่าเราเป็นคนที่ชอบลองอะไรใหม่ๆ เป็นคนขี้สงสัย มันก็เลยยิ่งเพิ่มพูนให้เราได้มีประสบการณ์ ทำให้ความคิดเราเปิด เปิดใจ เปิด spiritual realm และยอมรับมัน”
สังคมในแต่ละประเทศปฏิบัติกับเราต่างกันมากไหม?
“อันนี้ก็ต้องยอมรับว่ามีความแตกต่างกันบ้างนะคะ เพราะแต่ละประเทศก็จะมี beauty standards ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นไทย กัมพูชา อเมริกา อังกฤษ รัสเซีย แต่ละประเทศก็จะชอบในสิ่งที่เขาชอบ แต่จากประสบการณ์ของรีที่เติบโตในไทยแล้วไปใช้ชีวิตที่อังกฤษตั้งแต่ช่วงอายุ 20 จนถึงปัจจุบัน รีก็ได้เห็นถึงความแตกต่างของค่านิยม ทางฝั่งเอเชียจะมีแม่พิมพ์ของหน้าตาที่เป็นที่นิยมกัน ส่วนตัวก็ไม่ได้คิดมาก ไม่ได้นอยด์อะไรที่เราไม่ตรงตามพิมพ์นิยม แต่อยากให้คิดแบบนี้ ต้นไม้ปลูกในดินมันโตได้เหมือนกัน แต่มันออกมางามไม่เหมือนกัน ดูอย่างสตรอว์เบอร์รี่ก็ไม่สามารถที่จะเติบโตในดินทุกประเภทได้ มันต้องอยู่ในที่หนาวๆ แล้วดอกมันถึงจะสวย แต่ถ้าเราเอามาปลูกในที่ที่มันโดนบังคับ ก็คงเติบโตได้ แต่จะไม่ว้าวสักเท่าไหร่”
มุมมองต่อความงามที่ต่างกันในแต่ละประเทศ ส่งผลต่อวัฒนธรรมการฟังเพลง หรือการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะไหม?
“จากประสบการณ์ของรี รีคิดว่ามันก็มีความชัดเจนนะคะ ไม่ใช่แค่เรื่อง beauty standards อย่างเดียวค่ะ มันเป็นเรื่องของวัฒนธรรม เสรีภาพในความคิด แล้วก็การสนับสนุนให้ทุกคนมี individualistic mindset ถ้าอย่างในประเทศไทย เราก็มักจะเป็นไปตามสิ่งที่คนนิยมเป็นส่วนมาก ถ้าสิ่งนี้มันเวิร์ก ทุกคนก็จะไปตามสิ่งที่มันเวิร์กอยู่ แต่ว่าที่อังกฤษ ถึงจะมีสิ่งที่แมสอยู่บ้าง มันก็จะมีความ niche แล้วก็การทำสิ่งที่ชอบโดยไม่สนใจว่ามันจะอยู่ในกระแสไหม อะไรแบบนี้จะมีอยู่ค่อนข้างเยอะเลยค่ะ”
“ดังนั้น ถ้าพูดถึงในเรื่องของงานศิลปะ รีคิดว่าอะไรที่มันหลุดโลกก็มีค่อนข้างเยอะ แล้วก็มีให้เห็นเป็นปกติที่อังกฤษ ถ้าเทียบกับที่ไทย ซึ่งพอมีอยู่บ้าง แต่เราไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยสักเท่าไหร่ เพราะว่าสิ่งที่แตกต่างมักจะไม่ได้รับการสนับสนุนในเชิงของธุรกิจ ซึ่งบางครั้งก็ไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจอย่างเดียว เพราะว่ามันจะต้องมีความเสี่ยงด้านการลงทุน บวกกับการที่เราเอาวัฒนธรรม ศิลปะ ความเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็ตัวตนของสิ่งนั้นๆ มาผสมกัน มันก็เลยกลายเป็นอะไรที่มีความเสี่ยง แต่รีคิดว่าสิ่งที่สามารถขับเคลื่อนสังคมและวัฒนธรรมของเราให้ไปต่อได้ บางครั้งก็ต้องมีการเสี่ยงบ้าง ถ้าเราอยู่แต่ในเซฟโซนอย่างเดียว มันก็จะเป็นแบบเดิม”
เรื่องราวการเป็นผู้หญิงในวงการแร็ปเปอร์
“โดยธรรมชาติของวงการเพลงฮิปฮอป วงการเพลงแร็ป จะมีความเป็น male-led industry (อุตสาหกรรมที่นำโดยเพศชาย) ที่ค่อนข้างหนัก แต่ในปัจจุบันก็เริ่มมีผู้หญิงมากขึ้น มีความเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งรีคิดว่ามันเจ๋งนะ เจ๋งที่ตอนนี้มีโอกาส มีตลาด มีสิ่งใหม่ๆ มาเพิ่มและรองรับมากขึ้น ถามว่าเท่ากับของผู้ชายไหม มันก็อาจจะไม่เท่า ด้วยความที่ว่าจำนวนแร็ปเปอร์ผู้หญิงยังไม่เยอะเท่าผู้ชายค่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างนี้ไปตลอด คือมันต้องใช้เวลา แล้วก็อาจจะต้องมีการลงทุนอีกนิดนึง วันใดวันหนึ่งก็จะสามารถอยู่ด้วยกันได้”
สิ่งที่อยากส่งต่อให้ผู้ฟังผ่านบทเพลง
“อาจจะเป็นเรื่องของ spiritual ข้างใน บางครั้งคนเราก็ชอบที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับอย่างอื่น เวลาเห็นคนที่ว้าวๆ หรือประสบความสำเร็จ แต่รีคิดว่าถ้าเราไม่ดูเส้นทางชีวิตของคนอื่นแล้วเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง มันจะทำให้เรามีความสุข แล้วเราก็จะโฟกัสกับสิ่งที่เราทำและใช้ชีวิตได้ดีขึ้นค่ะ มันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่รีคิดว่าการที่เราเอาเรื่องนี้มาถ่ายทอดผ่านดนตรี ก็น่าจะเป็นอะไรที่มันแตกต่าง แล้วก็น่าจะขุดลึกเข้าไปถึงข้างในจิตใจได้มากขึ้น เพราะอย่างที่รีบอก ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราเอง หลังจากที่ข้างในมันโอเคแล้ว ข้างนอกก็จะเป็นประกายมากขึ้นไปด้วย”
สนใจเรื่อง spiritual ในแนวไหนบ้าง?
“มันก็ไม่ถึงขั้นมูเตลูขนาดนั้นค่ะ แต่รีจะคิดว่าตัวเองเป็นลูกสาวของจักรวาล เพราะรีเชื่อในตัวมัน ถ้าเราพูดคุยกับจักรวาล เชื่อในตัวเขา แล้วเปิด spiritual self (ตัวตนของจิตวิญญาณ) มันจะเป็นการเชื่อมต่อกับอะไรสักอย่างค่ะ เพราะว่าตั้งแต่เริ่มต้นใช้ชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน รีเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จักรวาลก็จะอยู่ข้างรีเสมอ พอเราตื่นเช้าขึ้นมาแล้วมีการทำสมาธิ manifest (มานิเฟสต์ – การสร้างความเชื่อเพื่อดึงดูดสิ่งดีๆ) และเขียนสิ่งที่เราจะทำ เราจะมีความตั้งใจในการวางแผน แล้วก็เชื่อในสิ่งที่เราเขียน รีรู้สึกว่าพอมานิเฟสต์แล้วมันเกิดขึ้นจริงนะ มันก็เหมือนเป็นการพึ่งพาตัวเอง แต่บางครั้ง ถ้ามีอะไรที่มองไม่เห็นซึ่งยิ่งใหญ่กว่าเรา แล้วเราเชื่อมตัวเองเข้ากับเขา มันจะเป็นเหมือนพลังใจและแรงผลักดัน เป็นแบตเตอรี่ที่ชาร์จพลังให้กับชีวิตเราอีกทีหนึ่ง ส่วนตัวมานิเฟสต์มานานแล้ว แต่ว่าเพิ่งมาทำจริงๆ ประมาณ 4-5 ปีเองค่ะ”
ผลสำเร็จจากการ Manifest
“มันมีหลายอย่างนะคะ ที่ชัดเจนเลยก็น่าจะเป็นเรื่องของผลงาน ประมาณช่วงปี ค.ศ. 2020 ที่โควิดมันเริ่มต้น รีก็มีความรู้สึกแพนิกเบาๆ เหมือนทุกคนว่าทุกอย่างต้องหยุดลง แล้วเรายังอายุแค่นี้อยู่เลย มันจะหยุดนานแค่ไหนเราก็ไม่รู้ แล้วก็มีความกังวล ซึ่งไหนๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เลยมานั่งมานิเฟสต์ให้เพลงแรกของรี ‘Mula’ ที่กำลังจะปล่อยในช่วงนั้นได้ถูกค้นพบค่ะ เป็นสิ่งแรกที่มานิเฟสต์เลย หลังจากนั้นประมาณเดือนกว่าๆ ก็มีคนมาติดต่อเราโดยที่ไม่ได้คาดหวังมาก่อน พอเซ็นสัญญาเสร็จปุ๊บ เราก็มานึกได้ว่า “เฮ้ย สิ่งที่เรามานิเฟสต์เมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้วมันเป็นจริง พระเจ้าช่วย” มันขนลุกซู่ไปหมด”
“หลังจากนั้นเราก็มานิเฟสต์อีกทีหนึ่งในเรื่องของความรู้สึกกับความสัมพันธ์ค่ะ เรามีความรู้สึกว่าคนที่กำลังคบอยู่มีอะไรสักอย่างที่มันตงิดๆ วันนั้นเราเลยไปนั่งอยู่ตรงระเบียง แล้วก็นั่งคิดว่า “Dear Universe, if this is meant to be ก็ขอให้มันใช่ แต่ถ้าไม่ใช่ ขอให้ส่งสัญญาณที่เราเห็นว่าคนนี้ไม่ใช่คนที่ใช่” แล้วหลังจากวันนั้น 3 เดือน หลักฐานก็มาหารีในมือถือ เราแบบ อืมมม (ขึ้นเสียงสูง) Dear Universe โอเค เริ่ด (หัวเราะ) ส่วนเรื่องที่รีจะมานิเฟสต์ต่อไป คือรีอยากได้ Female Awards แล้วก็อยากเป็นผู้ได้รับเสนอชื่อใน Grammy Awards สาขา World Artists ค่ะ”
ศิลปินที่อยากร่วม Collab
“ตอนนี้รีอยากจะร่วมคอลแลบกับ ‘Tyler, the Creator’ แล้วก็ ‘Frank Ocean’ ค่ะ ถ้าได้คอลแลบด้วยคือชีวิตจะมีความสุขมาก นอกจากนี้ก็มี ‘Daniel Caesar’ กับ ‘Rihanna’ ใช่ค่ะ แม่ห่าน ไอดอลของรี“
เทศกาลดนตรีที่อยากไปเข้าร่วม
“อยากไปหลายที่นะคะ ที่แรกที่อยากไปคือ ‘Wireless’ ที่ประเทศอังกฤษค่ะ เพราะเป็นเทศกาลดนตรีที่เราไปเกือบทุกปีเลย มันจะมีความเป็นอังกฤษที่ผสมอเมริกันเข้ามาด้วย แล้วมันใหญ่ มันฟีลเรา ส่วน ‘Coachella’ ก็เป็นอีกหนึ่งในเทศกาลที่เราก็อยากจะขึ้นเหมือนกัน ถ้ามีโอกาสนะคะ”
สมมติว่าได้ขึ้นโชว์บ้าง อยากจะเลือกเพลงไหนไปร้อง?
“ถ้าเอาเพลงปัจจุบัน รีคิดว่าอาจจะเป็นเพลง ‘Since Young’ แล้วก็เพลง ‘Fruity Loops’ ค่ะ เพลง ‘Since Young’ เป็นเพลงที่พูดถึงความเป็นตัวเรา ซึ่งมีการนำเสนออีสานเบาๆ ผสมกับความเป็นอังกฤษด้วย รีคิดว่ามันเป็นตัวเราในช่วงที่เพิ่งเริ่มต้น ในเรื่องของเพลง ‘Fruity Loops’ ก็เป็นเพลงที่รีค่อนข้างชอบ เป็นหนึ่งในเพลงโปรด เพราะว่ามันมีความไร้สาระสูง แต่ก็มีสาระในแบบของเขาด้วยค่ะ ร้องแล้วเราก็มีความสุข มันมีความไฮป์ ความ bouncy แล้วก็มีสีสันของสุนารีผสมด้วย”
มีซิงเกิ้ลต่อไปที่จะปล่อยออกมาในเร็วๆ นี้ใช่ไหม?
“มีค่ะ ตอนนี้ทำ MV ไว้เรียบร้อย แล้วก็จะออกเดือนหน้า พอถึง EP. นี้แล้วก็จะลงที่เดียวกันเลย”
ที่ไปที่มาของคอนเซปต์อัลบั้ม
“EP. นี้เป็น EP. แรกของรีนะคะ ซึ่งจะมีทั้งหมด 5 เพลง ตอนนี้ก็ปล่อยไปแล้ว 3 เพลง กำลังจะปล่อยเพลงที่ 4 คอนเซ็ปต์ของเขาจะเป็นการเดินทางบนเส้นทางชีวิตของสุนารีตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบันค่ะ ก็จะมีหลายเซต หลายมู้ด หลายโทน เป็นแทร็กที่มีทั้งความเป็นฮิปฮอป ความเป็นผู้หญิงบอบบาง ผู้หญิงมั่น ผู้หญิงแกร่งเข้าไปในแต่ละเพลง ใจความหลักของเขาก็คือ “You are the boss of your life” (หัวเราะ) ถ้าฉบับไม่เซ็นเซอร์ก็เป็น “You are the boss bitch of your life motherfuckersss” ส่วนชื่อของเพลงก็ต้องรอติดตามต่อไปนะคะ เป็นเซอร์ไพรส์ ตอนนี้มี ‘ได้ป่าว’ ‘Parachute’ ‘ตั้งแต่เด็ก’ แล้วก็เพลงใหม่ กับอีกหนึ่งเพลงที่จะมาลงท้าย ซึ่งเป็นเพลงที่มีแร็ปเปอร์รับเชิญมานะคะ เขาก็เป็นแร็ปเปอร์ผู้ซาย (พูดด้วยสำเนียงอีสาน) �