เชื่อว่าหลายๆ คนที่กำลังอ่านบทความนี้ น่าจะคุ้นเคยกับคำว่า NFT และสกุลเงินคริปโตฯ กันดีอยู่แล้ว ดังนั้นเราจะขออธิบายเพียงสั้นๆ ว่า NFT เป็นเหรียญประเภทหนึ่งที่มีความน่าสนใจอย่างมากในสายตาของนักลงทุน เพราะมันทำให้ทรัพย์สินที่มีค่า หายาก และมีความเป็นเอกลักษณ์สูงดังเช่นงานศิลปะ กลายเป็นสิ่งที่สามารถทำการซื้อขายกันได้ทั่วโลก และด้วยคุณสมบัติข้อนี้ของมัน คนทำงานศิลปะหน้าใหม่จึงได้มีพื้นที่ในการแจ้งเกิดและแสดงผลงาน
วันนี้เราได้เชิญศิลปิน 2 ท่านที่มีผลงานอยู่ในโลก NFT ที่นักอ่าน EQ อาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้ว ‘ตุ๊ – ณัชพล ตุ๊เสงี่ยม’ หรือ ‘TU!!’ ผู้เคยเป็น street artist และศิลปินไทยคนแรกๆ ที่ได้บุกเบิกเส้นทางสาย NFT และ ‘น้ำปาย – อานาปาน ปิ่นประดับ’ multi-disciplinary artist, sound artist และ music composer ที่ร่วมสร้างผลงานเพลงประกอบ NFT แก่ศิลปินท่านอื่นๆ พวกเขาทั้งคู่จะมาให้มุมมองที่มีต่ออนาคตของวงการศิลปะสายนี้กัน
นิยามของความเป็น ‘ศิลปิน’
ตุ๊: ผมมองภาพของความเป็นศิลปินค่อนข้างกว้างออกไปจากภาพลักษณ์แบบเดิมๆ ที่มักจะตั้งราคาภาพวาดไว้สูงๆ โดยคิดว่า “เดี๋ยวก็มีคนมาซื้อ” ในโลกของทุนนิยม ผมมองว่าการเป็นศิลปินก็ต้องมีการสร้างแบรนด์ หรือสร้างสรรค์ตัวตนที่ชัดเจนขึ้นมา ทั้งในโลกดิจิทัลและในโลกความเป็นจริง อย่างผมที่มีตัวการ์ตูนชื่อ ‘Boy On Fiyah’ ซึ่งจะสอดแทรกอยู่ในทุกๆ ผลงาน นอกจากนี้ก็ยังมีบุคลิกที่เป็นลักษณะพิเศษของผมเอง คำว่า ‘ศิลปิน’ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นปัจเจกชนอยู่แล้ว ซึ่งจะเรียกว่าเป็นกึ่งๆ อินฟลูเอนเซอร์ก็ได้ เพราะมันคือการนำเสนอคอนเทนต์ที่จะสื่อออกมาให้โลกได้รับรู้ว่าเราทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออก บุคลิก คำพูด ผมว่ามันรวมอยู่ในคำจำกัดความของความเป็นศิลปินทั้งหมด
น้ำปาย: สำหรับน้ำปาย ‘ศิลปิน’ เป็นเสียงที่แปลกใหม่ มีความสร้างสรรค์สูง และโดยส่วนตัวเราชอบอะไรที่มีความอวกาศ ซาวด์แบบที่ฟังดูเหมือนมาจากเหนือโลก มีความ experimental สูง และเป็นแนวอิเล็กทรอนิกส์ค่ะ
เพราะอะไรถึงได้มาทำ NFT?
ตุ๊: ครั้งแรกที่ได้ยินคำว่า NFT หรือคริปโตฯ นั้นมาจากบริษัทต่างชาติที่ผมรับงานมาทำครั้งแรก พอได้เห็นผลงานของผมเข้า เขาก็ถามว่าผมสนใจรับงาน NFT ไหม เขาจะจ่ายให้ทางคริปโตฯ ณ ตอนนั้น ทั้งคำว่า NFT และคริปโตฯ ยังฟังดูเป็นอีกภาษาสำหรับผมที่ยังไม่พร้อมทำความเข้าใจ จนกระทั่งผ่านไปเดือนหนึ่ง เพื่อนศิลปินชาวต่างชาติเขาก็ติดแท็กคำว่า NFT ใน IG ผมก็เลยเข้าไปถามว่ามันคืออะไร เขาอธิบายว่ามันคือการขายงานดิจิทัลอาร์ตบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยจะได้รับเงินเป็นสกุลบิตคอยน์ แล้วเราก็ไม่ต้องปรินต์งานอาร์ตนั้นออกมา
ผมค่อยๆ ทำความรู้จักกับมัน จนกระทั่งได้มาเจอกลุ่ม “NFT and Crypto Art Thailand” บนเฟซบุ๊ก ซึ่งผมโพสต์งานแล้วมันไปเข้าตาผู้ดูแลคนหนึ่งเข้า เขาก็เลยชวนผมให้ก้าวเข้าสู่โลกของ NFT ด้วยการส่งคำเชิญให้เข้าไปขายงานศิลปะในนั้นได้ ผมกับรุ่นพี่อีก 2 คนก็เลยมารวมตัวกัน เพื่อช่วยกันศึกษาหาความรู้กันแบบหามรุ่งหามค่ำ ในที่สุดผมก็ควักเงินมาลงทุนราว 2-3 หมื่นบาท ตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าขาดทุนก็จะลาวงการ ปรากฏว่างานชิ้นแรกขายไม่ได้ เพราะผมยังไม่รู้วิธีโปรโมต พอมาถึงงานชิ้นที่ 2 ผมก็ลองโปรโมตด้วยการทำคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับเรทเงินคริปโต รวมทั้งจัดงานอีเวนต์ต่างๆ ก็เลยทำให้คนเริ่มหันมาให้ความสนใจมากขึ้น จนเป็นที่มาของกลุ่มฐานของผู้ที่ให้การสนับสนุนจนถึงตอนนี้ครับ
น้ำปาย: เริ่มจากตุ๊เลยค่ะ คืองาน NFT ชิ้นแรกของเขาเป็นอนิเมชั่น แต่ไม่ได้มีเพลง น้ำปายก็เห็นว่ามันน่าจะมีเพลง เลยเสนอเขาไปว่าเดี๋ยวงานหน้าเราทำเพลงให้ จนเกิดเป็นงาน collaboration ชิ้นแรกขึ้นมา ก็เลยเป็นประตูบานแรกที่เปิดให้เราเข้ามาสู่โลกของ NFT ค่ะ แต่งานของน้ำปายเองยังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัว ยังไม่ได้ลงผลงานแบบเต็มตัวในนั้นค่ะ
คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแค่ไหนในฐานะศิลปิน และอะไรเป็นสิ่งที่นิยามความสำเร็จ
ตุ๊: ผมถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักครับ และนั่นคือสิ่งที่นิยามความสำเร็จ เพราะผมไม่เคยตั้งเป้าว่าจะต้องมียอดขายเท่าไหร่ แค่ทำโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน และได้ทำงานสไตล์ตัวเอง ผมโอเคกับจุดนี้ครับ
น้ำปาย: ถ้าวัดกันที่ความสุขกับการได้ทำในสิ่งที่เรารักก็ถือว่าประสบความสำเร็จเลยค่ะ แต่ถ้าวัดกันที่ตัวเงิน น้ำปายอาจจะยังไม่ถึงจุดนั้น สิ่งที่เราเรียกว่าเป็นความสำเร็จคือการได้มีโอกาสเปิดเผยมุมมองใหม่ๆ ของดนตรีให้คนไทยได้รู้จัก และมีส่วนทำให้ตลาดเพลงกว้างขึ้น ซึ่ง ณ จุดนี้ก็คิดว่าเราทำได้ดี เป็นที่น่าพอใจค่ะ ซึ่งสำหรับตอนนี้ มันเพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้น เพราะเรารู้ตัวว่าจะอยู่กับตรงนี้ไปอีกนาน เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่เรารัก ส่วนในด้านวัตถุ เราก็อยากจะทำเงินจากผลงานได้อย่างศิลปินทั่วไป ถึงแม้ว่าอาจจะยังไม่ได้อยู่ในจุดนั้น เราก็เชื่อว่าสักวันจะไปถึงแน่นอนค่ะ
แฮปปี้แค่ไหนกับตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่ในตลาด NFT ณ ตอนนี้
ตุ๊: จะว่าแฮปปี้ก็ได้ แต่ผมก็ยังต้องท้าทายตัวเองให้มากกว่านี้ ด้วยความที่พอตลาด NFT เปิดกว้างไปแล้ว การแข่งขันก็ยิ่งสูง เราก็เลยยิ่งต้องพัฒนาตัวเองให้เท่าทันตลาดอยู่เสมอ
น้ำปาย: ตอนนี้เราทำอยู่ในลักษณะ collaboration ซึ่งมันสนุกมากค่ะ เพราะเหมือนเราได้เล่นกับเพื่อนโดยการตีความเพลงของเขาออกมาเป็นดนตรี โดยที่เราไม่ต้องกังวลกับเรื่องของยอดขาย และในวันหนึ่งที่น้ำปายเอาผลงานของตัวเองขึ้นโชว์ใน NFT ต่อให้มันขายไม่ได้ การที่เราได้ทำมันออกมาสำเร็จก็คือสิ่งที่น่ายินดีที่สุดแล้วค่ะ
คิดว่าจะอยู่กับแพลตฟอร์มนี้ไปอีกนานแค่ไหน?
ตุ๊: มันขึ้นอยู่กับตัวผมเองว่าจะยังทำในสิ่งที่คนชื่นชอบต่อไปเรื่อยๆ ได้หรือเปล่า ซึ่งจะพยายามทำให้เต็มที่สำหรับตอนนี้ แต่ในส่วนของตัวแพลตฟอร์มเอง มันก็จะยังคงดำเนินต่อไป แม้ในวันที่พ้นกระแสสุดๆ ไปแล้วก็ตาม เชื่อไหมว่าช่วงที่เรทเงินคริปโตฯ ตก คนวงในก็ยังจับจ่ายใช้สอยกันเป็นปกติ แม้แต่บริษัท corporates ต่างๆ ก็ยังมีโปรเจกต์อยู่ใน NFT เรียกได้ว่ากำลังบูมเป็นดอกเห็ดเลยครับ
น้ำปาย: น้ำปายไม่เคยคิดหรือแพลนว่าจะต้องอยู่ตรงนี้ไปอีกนานแค่ไหน เพราะเราวางตัวเองเป็นศิลปินอิสระมาโดยตลอด และสุดท้ายก็ยังยืนยันว่าจะทำสิ่งนี้อยู่ดีค่ะ แม้ในวันที่โลกจะไม่มี NFT อีกต่อไปแล้วก็ตาม
ถ้าวันหนึ่งหมดแพชชั่นกับ NFT จะยังยืนหยัดในฐานะศิลปินต่อไปไหม?
ตุ๊: แน่นอนครับ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็เป็นศิลปินคนหนึ่งที่ใช้ NFT เป็นเครื่องมือช่วยให้ขายงานในแพลตฟอร์มอื่นได้ แต่มันก็ไม่ใช่เครื่องมือสุดท้าย ผมยังเห็นศิลปินบางคนที่ขายงาน NFT ไม่ได้เลย แต่ภายนอกแพลตฟอร์มก็ไม่มีปัญหา แถมยังเติบโตได้ไกลบนเส้นทางศิลปินอีกด้วย
น้ำปาย: ใช่ค่ะ เรามองว่า NFT เป็นเพียงช่องทางหนึ่งเท่านั้น เท่าที่สังเกตดูก็ยังมีศิลปินอีกมากมายที่ประสบความสำเร็จได้โดยที่ไม่ใช้แพลตฟอร์มนี้
มองภาพตัวเองในอนาคตไว้ว่าอย่างไร
ตุ๊: อยากมีโอกาสเติบโตในต่างประเทศนะ แล้วก็อยากเรียนรู้ขั้นตอนการทำงานด้วยสื่ออื่นๆ เช่น ภาพสามมิติ หวังว่าตอนนั้นเราจะมีความรู้ที่สามารถนำไปใช้ทำอะไรๆ ได้หลากหลาย แล้วก็มีประสบการณ์ในการแสดงผลงานที่ต่างประเทศบ่อยขึ้น
น้ำปาย: อย่างที่บอกตั้งแต่แรก เรามั่นใจว่าเจอเส้นทางของตัวเราเองแล้ว ก็เลยจะพยายามพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกเรื่อยๆ นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงค่ะ
สิ่งที่อยากฝากกับคนที่ชอบผลงานและตัวตนของเรา
ตุ๊: คงจะบอกได้แค่ว่าขอบคุณมากๆ ครับ ไม่รู้จะพูดยังไง นอกจากขอบคุณทุกคนที่ทำให้ผมมีวันนี้ แล้วผมก็จะพยายามพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ
น้ำปาย: ขอบคุณมากๆ เลยค่ะที่ชื่นชอบผลงานของเรา แค่ลองเปิดใจฟังเพลงที่เราตั้งใจทำแล้วคุณได้เปิดมุมมอง แค่นี้เราก็ดีใจมากแล้วค่ะ แล้วก็อยากจะฝากบอกคนอื่นๆ ที่สนใจอยากจะทำงานเพลงเหมือนกันว่าไม่ต้องกลัวผลลัพธ์ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง ขอให้เราสนุกที่จะเริ่มลงมือทำมันไปก่อน เพราะบางครั้ง คำตอบบางอย่างก็มาเมื่อตอนที่คุณได้เริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างนี่แหละ
แม้ว่าตุ๊และน้ำปายจะไม่เคยร่วมงานด้วยกันก่อนการก้าวเข้ามาสู่โลกของ NFT แต่เมื่อดูจากความสำเร็จที่ได้รับในระยะเวลาที่ผ่านมาแล้ว พวกเขาคงวางแผนจะร่วมงานกันต่อไป คราวนี้เราลองมาฟังทั้งคู่พูดถึงอนาคตของ NFT ดูว่ามันจะเป็นอย่างไรในฐานะของศิลปิน มันจะกลายเป็นอนาคตของวงการศิลปะหรือไม่ จะแตกแขนงไปเป็นอีกสาย หรือกระแสมาแล้วเดี๋ยวก็ไป
ตุ๊ให้คำตอบแก่เราว่า
“ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องกระโดดลงไปหา แต่มันเป็นอีกสิ่งที่จะอยู่คู่พวกเรา เป็น new normal ที่เราจะมีภูมิต้านทานปรับตัวกับมันไปเหมือนโควิด ระบบของ NFT มันไม่ได้จำกัดอยู่ที่ศิลปะอีกต่อไปแล้ว แต่คือทุกอย่างที่เป็นดิจิทัล เพราะแก่นสำคัญของมันคือหลักฐานการมีอยู่ของสิ่งๆ นั้น (prove of evidence) และมันแตกแขนงออกไปเยอะมาก สามารถใช้ได้ตั้งแต่ซื้อโทเคนไว้เล่นเกม หรือซื้อขายสินค้าจริงๆ ผ่านทางช้อปปี้หรืออีเบย์ รวมทั้งยังมีระบบตรวจสอบความโปร่งใสของสินค้าชิ้นนั้นๆ ด้วยว่าเป็นของแท้หรือไม่ อย่างผมซื้อกางเกงยี่ห้ออาดิดาสที่ตลาดรถไฟ ถ้าหากกางเกงตัวนั้นมีโค้ด NFT ผมก็สามารถเช็กได้เลยว่ามันมีการส่งออกกางเกงตัวนี้จริงหรือเปล่า ผมเลยเชื่อว่ามันจะอยู่กับเราต่อไปอย่างยาวนานแน่นอน ไม่ต่างจากเมื่อก่อนที่คนยังไม่เชื่อว่าสมาร์ทโฟนจะกลายมาเป็น new normal อย่างทุกวันนี้ แต่มันก็คือเทคโนโลยีที่วิวัฒนาการมาพร้อมกับมนุษย์ ไม่ต่างกันกับ NFT ในตอนนี้ ซึ่งผมไม่คิดว่ามันจะทำให้งานอาร์ตในแบบดั้งเดิมตายไป แต่อาจจะยิ่งทำให้มันมีคุณค่ามากขึ้น ไม่ต่างจากข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่ที่กลายเป็นของวินเทจไป หรือแม้แต่หนังสือที่ตอนนี้แทบจะมีสถานะเป็นของ collectibles ไปแล้ว รูปแบบเก่าๆ จะยังไม่ได้หายไปไหน แต่ว่าเราจะปรับตัวเพื่อใช้ระบบ NFT ในชีวิตประจำวันกันมากขึ้น”
ส่วนน้ำปายให้ความเห็นดังนี้ “น้ำปายมองว่า ณ ตอนนี้มันเป็นอนาคตที่กำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติในไม่ช้า แต่เราก็บอกไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า อย่างโควิดเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มี NFT เกิดขึ้น ด้วยความที่โลกมันเปลี่ยนไปตลอดเวลา ก็อาจจะมีปัจจัยอื่นมาทำให้อะไรๆ มันเปลี่ยนแปลงได้อีก เราจึงจะคาดหวังให้มันเป็นอนาคตของเราไปตลอดไม่ได้ เพราะโลกขับเคลื่อนไปเร็ว และมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวเก่ง มันจึงมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ น้ำปายเลยคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือเราควรเป็นตัวของตัวเองในเนื้องาน เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็จะยังสามารถยืนหยัดได้บนเส้นทางของเรา”
สิ่งที่ทั้งสองคนสรุปออกมาตรงกันก็คือ NFT จะเป็น new normal ของชีวิตมนุษย์อย่างแน่นอน และมันไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะงานศิลปะ แล้วคุณล่ะ เตรียมพร้อมจะรับมือกับมันหรือยัง?
ติดตามผลงานของ ‘ตุ๊’ และ ‘น้ำปาย’ ได้ที่
ตุ๊
Instagram: tu_illustratu
Facebook: IllustraTU
Foundation: tu_illustratu
น้ำปาย
Instagram: anaparn
Facebook: Nampai Anaparn
Website: www.anaparn.com