เราเชื่อว่าทุกศิลปินพยายามสะท้อนเรื่องเล่า ออกมาผ่านบทเพลง แน่นอนว่า ‘พลอย’ – วาเลนติน่า จาร์ดุลโล ก็เช่นกัน แต่เธอได้ยกระดับการเล่าเรื่องราวเหล่านี้ผ่าน 12 บทเพลงในอัลบั้ม ‘PLOY’ ด้วยการผูกเนื้อหาในบทเพลง เข้ากับอัญมณีสีทั้ง 12 สี เพื่อสะท้อนตัวตนออกมาให้จับต้องได้มากขึ้น แต่ความน่าสนใจยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะเธอได้สะท้อนชีวิตของเธอ ทั้งการเติบโต ตัวตน และเบื้องหลังของชีวิต ผ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ รับรองได้เลยว่าคุณจะรักผู้หญิงคนนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน
วาเลนติน่า ในวันที่ใกล้เลข 3
“กลัวนะ (หัวเราะ) คงเพราะมันมีช่วงที่เราหายไปหลายปีด้วย เพราะสถานการณ์โรคระบาด 2-3 ปี ที่เราแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ก็เลยแอบกลัว เพราะเวลามันผ่านไปไวมาก อีกอย่างภาพของคนอายุ 30 ตอนพลอยเด็กๆ รู้สึกว่าเขาต้องโตมากๆ แล้ว ต้องดู Mature ต้องดูภูมิฐาน แต่พอหันกลับมาดูตัวเองตอนนี้ ยังใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าสนีกเกอร์อยู่เลย พอถึงวันที่เราต้องเข้าเลข 3 จริงๆ แล้ว เรายังไม่ใกล้เคียงกับภาพแบบที่เคยคิดไว้เลย แต่เราเข้าใจว่าในมุมของการทำงาน เราต้องเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว แต่ในเรื่องของการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ ยังรู้สึกว่า เอ๊ะ เราไม่ได้แก่ขนาดนั้นนี่นา ยังรู้สึกเหมือนตอนอายุ 20 อยู่เลย”
‘ศิลปิน’ ภาพที่ไม่ได้ฝันไว้ ในวัย 20 ของพลอย
“ไม่เลย ไม่เหมือนเลย พลอยเห็นตัวเองเป็นครูสอนภาษา หรือทำงานอะไรที่ใช้การสื่อสาร ใช้ภาษา ได้เดินทาง หรือไม่ก็อยากเป็นพวกนักข่าว นักสื่อสารมวลชน แนวๆ นี้เสียมากกว่า คิดว่าเรียนจบ หางานทำที่อิตาลี หรือไม่ก็ทำงานในบริษัทคุณพ่อ ไม่ได้เห็นภาพตัวเองเป็นนักร้อง นักแต่งเพลง มีอัลบั้มแบบทุกวันนี้เลย แต่ความชอบในการแต่งเพลง ร้องเพลงมันอยู่กับเรามาตลอด แค่ไม่เคยคิดว่าเราจะมาเป็นศิลปินจริงๆ เพราะการมาไทยในครั้งนั้น มันเหมือนมาเพื่อพักร้อน ไม่ได้คิดว่าจะมาใช้ชีวิตที่ประเทศไทยเลย”
ตัวตนของคนขี้อายบนเวที
อย่าง Beyonce เมื่อก้าวขึ้นเวทีแล้ว เธอจะกลายเป็น Sasha Fierce
เมื่อ Adele จับไมค์ร้องเพลง เธอจะกลายเป็น Sasha Carter
วันที่ Nicki Minaj รัวแร็ป เธอได้กลายเป็น Roman Zolanski
เราเลยอยากรู้ว่า คนที่ออกตัวว่าเป็นคนขี้อายแบบ พลอย วาเลยติน่า ได้สร้างตัวตนที่เป็น Alter Ego บนเวทีบ้างไหม
“ทุกคนรู้ว่าพลอยเป็นคนขี้อาย น่าจะพอสังเกตกันได้ (หัวเราะ) พลอยโตมาในเมืองเล็กๆ ที่ทุกคนรู้จักกัน พลอยรู้ว่าการไปยืนบนเวทีต่อหน้าคนที่ไม่รู้จักมันต้องทำตัวอย่างไร การประกวด X-factor อิตาลี ตอนนั้นมันคือการไปแชร์เรื่องราวที่พลอยเขียนเอาไว้ในไดอารี่ เรื่องราวที่เขียนในห้องนอน พลอยรู้สึกว่ามันมีพลัง มันมีพลังมากกว่าความเขินอาย ก็เลยตัดสินใจไปประกวด และกรรมการทั้ง 4 คนก็หันมา ก้ร้องให้บนเวทีอีก (หัวเราะ) จากนั้นมันทำให้เรารู้สึกว่า เราทำได้ เราอยากทำสิ่งนี้จริงๆ จังๆ ขึ้นมาแล้ว”
“อย่างล่าสุดงานเปิดอัลบั้ม พลอยก็ร้องให้อีก น้ำตาแตกบ่อยมาก เป็นคน Emotional รู้สึกไปหมดทุกอย่าง (หัวเราะ) ทุกอย่างมันมีความหมาย มัน Meaningful ไปหมด ทุกสิ่งคือความสวยงาม (หัวเราะ) เหมือนคนเพ้อหน่อยๆ คงเป็นเพราะที่มาของเพลงพลอย มันมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิตของเรา เรื่องส่วนตัวของพลอย มันมาจากเรื่องที่เราบันทึกไว้ในไดอารี่ แล้วพลอยได้ทำเรื่องราวเหล่านี้ให้ออกมาเป็นบทเพลง ซึ่งตอนนี้อารมณ์มันถูกฝังไว้กับความทรงจำที่กลายมาเป็นเนื้อร้องในเพลง แน่นอนว่า Emotional แบบพลอยก็จะจำได้ถึงโมเมนต์เหล่านั้น ว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน ยินดีขนาดไหน แล้วน้ำตามันก็ออกมาเอง มันคิดถึงโมเมนต์เหล่านั้น พลอยยังเล่าปนหัวเราะ กับเรื่องราวความอ่อนไหวของตัวเธอเอง”
“มันแปลกจริงๆ นะ กับการยืนบนเวทีแล้วร้องไห้ให้คนอื่นเห็น หรือแม้แต่มือ แขน ที่มันไม่รู้จะเอาไปไว้ตรงไหนดี มันดูแปลกไปหมดเลยสำหรับพลอย จะบอกว่าอย่างไรดี พลอยไม่รู้จะจัดการกับร่างกายตัวเองอย่างไรด้วย ถ้าถามถึง Alter Ego ก็คงจะเป็นคนขี้อาย คนอ่อนไหวแบบที่เล่าไป เหมือนเดิมนะ เป็นคน awkward แบบที่ยอมรับมันได้ และยินดีที่จะเป็นแบบนี้มากกว่า (ยิ้ม)”
PLOY และ พลอย
เธอเกริ่นถึงงานเปิดตัวอัลบั้มขึ้นมา เราจึงรีบตะครุบถามเรื่องอัลบั้มใหม่ของเธอทันที
“PLOY เป็นอัลบั้ม Debut ของพลอย อัลบั้มเต็ม อัลบั้มแรก ต้องเล่าก่อนว่า ก่อนหน้านี้ไม่ได้ชื่อ PLOY มันชื่อ ‘Song for my bathroom’ ทีนี้ค่ายเขาขอให้ใช้ชื่ออื่นได้ไหม ที่ไม่ใช่ Bathroom เขาเข้าใจว่าพลอยแต่งเพลงในห้องน้ำ แต่ทำไมต้องอยู่ในห้องน้ำด้วย พยายามปรับกันไปๆ มาๆ อยู่พักใหญ่ จนพลอยมาสังเกตว่า มันมีภาพหนึ่งใน Visual Board ที่พลอนถือหิน และพอมาย้อนนึกดูเพลงทั้งหมดมันมีเรื่องราวในมุมที่ต่างกันอยู่ด้วย พลอยเลยเอามาจับคู่กับอัญมณีต่างๆ จนมันสามารถเล่นกับชื่อของพลอยเองได้ ก็เออ มันไม่ได้แย่หนิ ก็ชอบนะ“
“PLOY มันก็มาจากชื่อของพลอย ที่คุณแม่ตั้งให้ คือคุณแม่ก็จะมีแพชชั่นกับหินสี พลังงาน อะไรพวกนี้อยู่แล้ว เลยตั้งชื่อลูกให้เป็นพลอยแล้วกัน จนมาถึงอัลบั้มแรกของชีวิต พลอยก็หยิบเอาเพลงที่เคยแต่งไว้มาใส่ในอัลบั้ม โดยจับคู่เพลงต่างๆ กับอัญมณีแต่ละแบบ เป็น 1 เพลง 1 สี คือเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม มันจะเล่าเป็นวงจรความรู้สึก ของมนุษย์คนหนึ่งที่เริ่มจาก คนสองคน มีความเหงา ได้มาเจอกัน มีความรัก ทะเลาะเบาะแว้ง เลิกรา อกหัก เศร้า เสียใจ วนกลับมาเหงาอีกครั้ง”
พลอยเล่าต่อ “จริงๆ การเปลี่ยนชื่ออัลบั้มมันไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้น แต่ด้วยความที่พลอยคิดภาพ คิดมิติของการสื่อสารเอาไว้หมดภายใต้คอนเซ็ปต์นี้แล้ว มันมีความรู้สึกว่าเราไม่สามารถใช้ชื่ออื่นได้อีก แต่พอลองถอยออกมาแล้วมองภาพกว้างอีกที ชื่อ PLOY มันก็รวมความหมาย และคอนเซ็ปต์ได้ครบถ้วนเหมือนกัน มันก็ Make Sense ดี ก็ไม่มีเหตุอะไรที่ทำให้พลอยไม่เปลี่ยนใจ”
ต้องมี ‘Ego’ เพื่อรักษาตัวตน และผลงาน
“I mean it’s not คือเรารู้กันว่า Ego มันมีทั้งดีและไม่ดี ถามว่าเรามีไหม มันอาจจะต้องแยกกันระหว่างการใช้ชีวิตกับการทำงาน การทำงานสำหรับพลอยมันต้องมีเพื่อรักษาตัวตน และผลงานของตัวเองไว้ มันต้องชัดเจนว่าเราต้องการอะไร อะไรที่ยอมได้ อะไรที่ไม่สามารถยอมได้ จะมานั่ง Emotional เห็นใจคนอื่น กลัวคนอื่นเสียความรู้สึกเพราะการปฏิเสธของเรามันก็ไม่ใช่ Because it’s business You need to เห็นใจตัวเองด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นทำร้ายตัวเองไปด้วย”
“แต่ในส่วนของการใช้ชีวิตพลอยเป็นคนที่ชิลมาก มากๆ แบบ ก.ไก่ ล้านตัว เป็นคน compromise กับทุกอย่าง พยายามเข้าใจทุกคน เห็นใจทุกคน (หัวเราะ) พลอยยอมได้เกือบหมดเลยนะ แต่พลอยยิ่งใหญ่กับความแฟร์มากๆ ถ้าใครมาข้ามขอบเขตของความแฟร์ที่เราตั้งไว้ พลอยก็จะเริ่มแล้วว่า อันนี้ไม่ใช่นะ ก็จะเป็นอีกโหมดไปเลย”
ภาพที่สะท้อนออกมาผ่านตัวตน พลอย วาเลนติน่า
เมื่อพลอยได้สะท้อนเรื่องราวของตัวเองผ่านบทเพลงออกมาในอัลบั้มแล้ว แล้วความเป็นพลอยที่สะท้อนออกมาในวันนี้ หน้าตาเป็นอย่างไร
“ก่อนหน้านี้พลอยเล่าถึงความฟุ้งๆ ของคุณแม่ที่ตั้งชื่อลูกใช่ไหม ทุกวันนี้พลอยส่องกระจกตอนเช้า หรือมองกลับมาที่ตัวเอง มันเหมือนเห็นพฤติกรรม ตัวตน ของเราที่มีอยู่ในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นความฟุ้งๆ ที่เล่าไป อันนี้ชัดเจนมาก (หัวเราะ) จนบางทีก็ถึงกับ เฮ้ย หยุดแป๊ปหนึ่ง it was clearly that my mom ชัดๆ เลย มันมีบางอย่างที่พลอยไม่ชอบด้วยซ้ำ แต่เราก็ทำไปโดยไม่รู้ตัว แล้วยิ่งโต ก็ยิ่งเหมือนเข้าไปทุกที”
“อ๋อ อีกอย่างที่น่าจะอยู่ในสายเลือดเลยคือเรื่องอาหาร พลอยเป็นลูกครึ่งอิตาลี ก็จะมีความรักในอาหารเป็นพิเศษ ความจู้จี้ในเรื่องนี้เหมือนๆ กับครอบครัวคุณพ่อ อย่างแรก พิซซ่าห้ามสับปะรสเด็ดขาด เส้นสปาเกตตี้ห้ามหัก แล้วแฟนคนปัจจุบันของพลอยที่เป็นคนอังกฤษเขาชอบทำอะไรที่แบบ... พูดไม่ถูกจริงๆ เช่น ใส่เส้นสปาเกตตี้ลงไปในน้ำที่ยังไม่เดือด หักเส้นทั้งๆ ที่ใส่เข้าไปแบบปรกติได้ กินพาสต้ากับช้อน พลอยยังคงเล่าต่อด้วยหน้าตาจริงจัง อันนี้ทุกคนอย่าว่าพลอยนะ แต่แบบ Americano เอา Espresso ไปผสมน้ำ คนอิตาเลี่ยนเขาไม่กินกันจริงๆ มันก็จะมีความจุกจิก และซีเรียสกับอาหารการกินเป็นพิเศษ มันไม่ใช่ว่าเรา Conservative เรื่องอาหารนะ มันสร้างสรรค์ได้ แต่มันต้องสมเหตุสมผลด้วย อย่างคนไทยก็คงไม่โอเคถ้าเอาช็อกโกแลตมาใส่ในส้มตำ น่าจะความรู้สึกเดียวกัน”
เราเลยอยากรู้ว่า ร้านอาหารอิตาเลี่ยนร้านโปรดของพลอยในกรุงเทพ มีร้านไหนบ้าง “จริงๆ เยอะมาก แต่ถ้าให้เลือก 3 ร้าน ก็จะมี Pepina Pizza สุขุมวิท 33 ร้านนี้ต้องกินพิซซ่าแน่นอน ดีที่สุดในโลก ต่อมาเป็น Appia Bangkok สุขุมวิท 31 ร้านนี้พาสต้าอร่อย คาโบนาร่า ที่ไม่มีครีม ไม่มีนม ไม่ใส่ Bacon Strip แล้วก็ Mozza By Cocotte หาง่ายหน่อย”
ก้าวต่อไปของ พลอย วาเลนติน่า
“อยากทำทัวร์มากๆ เลยตอนนี้ ส่วนตัวคิดว่า ตัวพลอยเอง ผลงานพลอยเอง มันเพียงพอกับการเริ่มทำทัวร์คอนเสิร์ตได้แล้ว อยากให้เป็น Mini Concert ในประเทศและต่างประเทศ สักยกหนึ่ง แล้วก็น่าจะกลับมาพักอีกสักหน่อย กลับมาเขียนไดอารี่แบบที่เคยทำ กลับมาเขียนเจอร์นี่ของชีวิตแบบไม่คาดหวัง แบบไม่ต้องกดดันว่า จะต้องเอามาปั้นเป็นเพลงใหม่ เหมือนกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง ให้พลอยได้กลับมาเจอโมเมนต์ของชีวิตที่เรารู้สึกกับมันจริงๆ”
หินที่ดูไม่พิเศษ แต่ถ้าสังเกตจะรู้ว่าเป็น ‘พลอย’
“น่าจะเป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้ม ‘Left Unsaid’ พลอยผูกเพลงนี้ไว้กับ Labradorite (ลาบราดอไร้ท์) ถ้าไม่ถูกแสงมันจะสีเทา หม่นๆ ดูเป็นหินปรกติ ที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ถ้าสะท้อนแสงเมื่อไรมันจะออกสีเขียว สีฟ้า เล่นแสงได้หลายสีมาก มันต้องอาศัยความช่างสังเกต แล้วก็จะเห็นอะไรบางอย่างในตัวของมัน เหมือนกับเพลง Left Unsaid ที่เราพลอยได้ซ่อนเอาไว้เป็นของขวัญในอัลบั้มนี้”
ติดตามผลงานของ Valentina Ploy ได้ที่
YouTube: Valentina Ploy
Facebook: Valentina Ploy
Instagram: valentinaploy