หลายๆ คนคงเคยรู้สึกเจ็บช้ำจากการถูกตัดสินด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งอาจส่งผลให้มองข้ามการยอมรับ และมองเชิงตำหนิในแง่ของการตั้งคำถามว่า “ทำไมไม่ดูแลตัวเอง ทำไมถึงปล่อยตัวแบบนี้” ซึ่งเป็นเพียงเพราะรูปร่าง สีผิว ที่อาจจะแตกต่างจากกรอบภาพลักษณ์ที่มองกันว่าสวยงาม โดยผู้คนมักจะหลงลืมไปว่า ในธรรมชาติก็มีกลุ่มคนที่ถูกคัดสรรให้เป็นกลุ่มที่สีผิวมีความไม่สม่ำเสมอ ซึ่งมีชื่อว่า ‘โรคด่างขาว’
ทำความเข้าใจกับ ‘โรคด่างขาว’
มาทำความเข้าใจกับตัวโรคกันก่อน โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติกับเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผิว (Melanocyte) ซึ่งเซลล์ดังกล่าวอาจถูกทำลายหรือหยุดการสร้างเม็ดสีผิว (Melanin) จึงทำให้เกิดเป็นด่างสีขาวคล้ายน้ำนมตามผิวหนัง และสามารถเกิดขึ้นกับบริเวณใดก็ได้บนร่างกาย แต่โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ใบหน้า คอ มือ หรือตามรอยพับ และไม่สามารถคาดการณ์ได้ โรคด่างขาวจะสามารถเกิดขึ้นได้เพียง 1% หรือมากกว่านี้เพียงเล็กน้อย เกิดได้กับคนทุกสีผิว แต่จะมองเห็นได้ชัดในกลุ่มคนผิวสี ซึ่งตัวโรคนั้นไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่จะก่อให้เกิดการสูญเสียความมั่นใจซะส่วนใหญ่
คนเหล่านี้ที่เป็นโรคด่างขาว (Vitiligo)
ในอดีตที่ยังไม่มีการให้ความรู้ของตัวโรคด่างขาวอย่างแพร่หลายมากนัก กลุ่มคนที่เป็นโรคชนิดนี้ก็ถูกทำให้กลายเป็นตัวประหลาด และนี่คือตัวอย่างของกลุ่มคนดังที่ประสบกับโรคด่างขาวซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างล้นหลามคือ ‘ไมเคิล แจ็กสัน’ (Michael Jackson)
ไมเคิล แจ็กสัน – ราชาเพลงป๊อปชื่อดังที่ถูกสื่อในสมัยนั้นรายงานข่าวถึงเรื่องความไม่พอใจในสีผิวดำของตนเอง เลยไปทำให้สีผิวของตนนั้นขาวขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในภายหลัง ไมเคิลได้ออกมาตอบคำถามเหล่านี้ในการให้สัมภาษณ์ในรายการกับ ’โอปราห์ วินฟรีย์’ (Oprah Winfrey) ว่า “ผมมีโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของผิวหนัง ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังของผมถูกทำลาย มันเป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีในครอบครัวของผม พอหลายๆ คนพยายามกุเรื่องขึ้นมาว่าผมไม่อยากจะเป็นในสิ่งที่ผมเป็น (การเป็นคนผิวดำ) ผมเลยรู้สึกไม่ดีเอามากๆ เพราะยังไงผมก็คือคนอเมริกันผิวดำคนหนึ่ง ผมภูมิใจในสีผิวและเชื้อชาติของตัวเอง” ทั้งนี้ ไมเคิลไม่ได้ถูกต่อว่าแค่กับเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงการถูกตราหน้าว่าบ้าศัลยกรรม ซึ่งนั่นก็เป็นผลจากโรคติดตัวที่เขาเป็นด้วยนั้นเอง ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะมีคนเข้าใจ และเชื่อในเหตุผลนี้ หรือไม่เชื่อในคำพูดของไมเคิลก็ตาม ก็ไม่สามารถลบความสามารถ และความสำเร็จอันเป็นที่ประจักษ์ของไมเคิลได้เลย
‘ลอว์เรน เอลีส‘ (Lauren Elyse) นางแบบและช่างแต่งหน้าจากรัฐชิคาโก เธอได้พลิกปมด้อยจากโรคด่างขาวที่เธอเป็น มาสู่หนทางในการสร้างลุคที่น่าสนใจมากขึ้น จนมันกลายมาเป็นจุดเด่น และทำให้เธอดูน่าดึงดูดมากขึ้นไปด้วย ทำให้เห็นว่าโรคที่เป็นไม่สามารถหยุดความสามารถที่จะเฉิดฉายของเธอได้เลย
‘แอช โซโต’ (Ash Soto) ผู้หญิงที่วาดลวดลายของโลกบนตัวเธอเอง แอชได้แชร์ภาพของเธอลงบนอินสตาแกรมส่วนตัวในชื่อ radiantbambi ซึ่งเป็นภาพที่เธอได้ออกแบบลวดลาย โดยอิงจากรอยด่างที่เกิดจากโรคด่างขาวที่เธอเป็น แอชได้ใช้ร่างกายของเธอเป็นกระดานวาดภาพและนำเสนอมันออกมาในแง่ของการสร้างความมั่นใจในตัวเอง และเธอยังมองว่ารอยด่างนี้เป็นศิลปะ ซึ่งการเสนอภาพนั้นทำให้แอชเป็นที่สนใจของผู้คนอย่างล้นหลาม ซึ่งในปัจจุบัน เธอได้มีผู้ติดตามถึง 150,000 คนบนอินสตาแกรม
“ฉันจะไม่ขอบอกว่าโรคด่างขาวที่เป็นนี้ทำให้ฉันดูดีขึ้น แต่นั่นแหละ ฉันแตกต่างและยอมรับในความแตกต่างนั้น ฉันรู้สึกสบายใจกับมัน ฉันโชคดีที่ร่างกายของฉันมีรูปลักษณ์เป็นเช่นนี้” — ’มูสตาฟา ไซดิ’ (Moostapha Saidi)
คำพูดของมูสตาฟาที่เข้าวงการนายแบบด้วยความตั้งใจที่จะนำมาซึ่งความหลายหลายในวงการนายแบบ และส่งเสริมความมั่นใจให้กับคนมากขึ้น เขายังได้เข้าร่วมเป็นนายแบบให้กับแบรนด์อย่าง FILA, The Messi Store, Volkswagen, Calvin Klein, Edcon, Port Magazine, Mybeautifulafrica Magazine, Drum Magazine, RICH MNISI และอีกมากมาย
Photo credit: i-d.vice
‘บร็อก เอลแบงก์’ (Brock Elbank) ศิลปินผู้นี้ได้รวบรวมและนำเสนอความงามของผู้ที่เป็นโรคด่างขาว เพื่อแสดงให้เห็นว่าโรคนี้ไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอ แต่แสดงถึงความแข็งแกร่ง และความหลากหลายของมนุษย์ ซึ่งสามารถติดตามผลงานอื่นๆ ของเขาเพิ่มเติมได้ที่ อินสตาแกรม mrelbank
บุคคลที่ยกมานี้ ล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการไม่ถูกยอมรับในภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากปกติ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถก้าวข้ามปัญหาเหล่านี้ กว่าที่จะได้รับการยอมรับ พวกเขาจำเป็นต้องพยายาม อดทนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคำล้อเลียนและคำดูถูกเป็นระยะเวลานาน จึงอยากให้ลองได้อ่านคำตอบการสัมภาษณ์อีกข้อความที่ได้กล่าวไว้ว่า “ฉันคิดว่าคนเรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเรา แต่สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นคิดไม่ได้ทำให้คุณมีความสุขในชีวิต ดังนั้น ใช้ชีวิตตามที่คุณเลือกเถอะ” ซึ่งได้พูดไว้ใน TED Talk ในหัวข้อที่ว่า ‘คุณนิยามความสวยของตัวเองอย่างไร’
อ้างอิง