Art

‘wadfah’ และการ Coming of Age – ช่วงเวลาแห่งการค้นหาตัวตน กระเทาะเปลือก และเติบโต ในแบบที่เป็นตัวเอง

ปลุกตัวเองให้มีพลังขึ้นมาอีกครั้งด้วยการเปิดเพลงของ ‘wadfah’ ฟังก็ดูจะเข้าท่า เพราะด้วยเนื้อหา ท่วงทำนอง คำร้อง ที่แสดงจุดยืนและตัวตนที่ชัดเจนของ ‘วาดฟ้า ไชยทัพ’ สาวน้อยวัย 21 ปี จากรั้วจุฬาฯ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ บวกกับไลฟ์สไตล์และการแต่งตัวที่โดดเด่น ทำให้เรามองเห็นเรื่องราวการใช้ชีวิตท่ามกลางเมืองหลวงและเรื่องราวต่างๆ จากประสบการณ์จริงของเธอ ผ่านบทเพลงและ MV สุดครีเอทที่เธอมีส่วนร่วมในทุกๆ กระบวนการทำงาน แต่กว่าจะมาเป็น ‘wadfah’ ในวันนี้ เธอได้แต่งแต้มสีสัน ดนตรี และเรื่องราวอะไรในชีวิตลงไปบ้าง? EQ จะพาไปทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น พร้อมเจาะลึกซิงเกิ้ลล่าสุด ‘she's in a cage’

แรงบันดาลใจอะไร ที่ทำให้รู้สึกว่า "ฉันต้องเป็นนักร้องแล้วล่ะ" 

"เราชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้ว และได้มีโอกาสขึ้นเวทีจริงๆ ตอนมัธยมปลายที่มีกิจกรรมโรงเรียน ตอนนั้นอายุ 15-16 ปี และเคยไปเรียนโรงเรียนดนตรีที่ต่างประเทศด้วย เลยอยากลองมีเพลงเป็นของตัวเองบ้าง แฟนของเรา (ปัจจุบันเป็นโปรดิวเซอร์) ก็ทำเพลงอยู่แล้ว บวกกับได้แรงบันดาลใจจากคนรอบข้างมา ก็เลยลองดูค่ะ"

อะไรคือจุดเริ่มต้นของการเป็นศิลปินกับค่าย Smallroom

"เมื่อประมาณปีที่แล้วเราปล่อยเพลงไป 1 เพลง คือเพลง ‘if i die’ เหมือนตอนนั้น Smallroom กำลังตามหาศิลปินหญิงอยู่ แล้วเขาก็มาถูกใจเรา พี่รุ่งชอบมาก เขาเลยเรียกเราไปคุยเรื่องการทำเพลงค่ะ"

“วาดฟ้ารู้สึกว่าตัวเองมี Youth Power และมีเอกลักษณ์ตรงที่ ชอบแต่งเพลงแนว Coming of Age ที่มีความวัยรุ่นมากๆ”

จุดเด่นของ Wadfah ที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ คืออะไร

"เราเล่าเรื่องในเพลงโดยไม่กล่าวถึงอะไรหรือพรรณนาเยอะจนเกินไป ค่อนข้างที่จะสื่อสารตรงไปตรงมา เราชอบ mention ถึงสังคมด้วย ก็เลยคิดว่าตรงนี้น่าจะเป็นจุดเด่นได้ และเราอยากแสดงความเป็นตัวเองออกมา ด้วยการใช้ youth power เพราะส่วนตัวชอบ energy ในวัยเด็ก"

‘Wadfah’ มาจาก ‘วาดฟ้า’ ตรงตัวเลยใช่ไหม?

"มาจากวาดฟ้าตรงๆ เลยค่ะ ซึ่งมันมีเรื่องราวที่ค่อนข้างน่ารักนิดนึง ตอนนั้นคุณแม่ตั้งท้องและนอนมองดูท้องฟ้า กำลังหาไอเดียตั้งชื่อลูกอยู่ แล้วเขาก็เกิดความสงสัยว่า "ใครเป็นคนออกแบบท้องฟ้านี้กันนะ?" เลยตั้งชื่อให้เราเป็น ‘วาดฟ้า’ ค่ะ"

ถ้าจะนิยามหรือจำกัดความเพลงของเรา คือเพลงแบบไหน

"อัลเทอร์เนทีฟ อินดี้ป๊อบ"

ทำไมเลือกทำเพลงและเขียนเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ

"เพราะเพลงที่เราฟังส่วนใหญ่เป็นเพลงสากล เราก็เลยรู้สึกสบายๆ กับมัน ภาษาไทยมันค่อนข้างยากสำหรับเราด้วยค่ะ รู้สึกว่าทำเพลงเป็นภาษาอังกฤษจะง่ายกว่า"

วงโปรดของ Wadfah

"วงโปรดหนึ่งเดียวในดวงใจเลยคือ ‘The Beatles’ เพราะเป็นวงที่ทำให้รู้สึกว่าวิธีการแต่งเพลงของเขามันเท่และมีเอกลักษณ์มากๆ เราชอบเวลาเขาพรรณนาถึงความรู้สึกของตัวเอง ดนตรีก็ถือว่าค่อนข้างกล้าที่จะทำในยุค 60-70’s เป็นวงที่มีทัศนคติต่อการมองโลกที่น่าสนใจค่ะ The Beatles เลยเป็นวงโปรดที่เราชอบกลับไปฟังเวลาอยากจะเยียวยาหัวใจตัวเอง ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ เลย"

ชอบเพลงไหนของ The Beatles?

"เพลงที่ชอบคือ ‘Across the Universe’ จริงๆ แล้วศิลปินในวงเราชอบ ‘พอล แม็กคาร์ตนีย์’ (Paul McCartney) มากที่สุด แต่ ‘จอห์น เลนนอน’ (John Lennon) จะเป็นคนแต่งเพลง เรารู้สึกตื่นเต้นกับวิธีการกล่าวถึงสิ่งต่างๆ ของเขาในเนื้อเพลง เรารู้สึกว่าภาษามันค่อนข้างสวยงาม แบบ โห...คนเราจะคิดถึงอะไรแบบนี้ได้ยังไง เรารู้สึกว่ามัน touching มากๆ อย่างบอกไม่ถูก"

นอกจากซิงเกิ้ลทั้ง 3 อย่าง if i die, i hate this city, และ she's in a cage วาดฟ้าจะปล่อยเพลงใหม่ออกมาอีกในเร็วๆ นี้หรือเปล่า?

"ตอนนี้กำลังทำเพลงอื่นๆ อยู่ ซึ่งมีเยอะมากเลยค่ะ เรากำลังพยายามแต่งให้ได้มากที่สุด เพราะอยากหาเพลงที่มี energy ที่คึกคัก แต่ก็ไม่รู้ว่าอันไหนจะไปโดนและถูกใจเจ้าของค่าย ส่วนเพลงต่อๆ ไปจะเป็นแนวอินดี้ป๊อบเหมือนเดิม แต่เราพยายามจะสร้างความคึกคัก อยากให้มันมีพลังและมีความเป็นเด็กวัยรุ่นมากขึ้นค่ะ"

ได้แรงบันดาลใจมาจากไหนเวลาเขียนแต่ละเพลง ใช้เวลานานไหม

"อันนี้แล้วแต่เพลงเลยค่ะ อย่าง ‘if i die’ นั่งแป๊บเดียวก็ได้แล้ว ครึ่งชั่วโมงแต่งจบทั้งเพลงเลย ส่วนเรื่องการโปรดิวซ์ น่าจะประมาณหนึ่งเดือน มันแล้วแต่อารมณ์มากๆ เลย บางเพลงเค้นเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จ แต่บางเพลงแป๊บเดียวก็เสร็จค่ะ แต่ระยะเวลาที่ใช้สำหรับขั้นตอนทั้งหมดก็จะประมาณ 1 เดือนค่ะ"

กิจกรรมอะไรที่ชอบทำควบคู่กับการเขียนเพลง มีส่วนช่วยในการทำเพลงด้วยหรือเปล่า?

"วาดฟ้าชอบมิกซ์มีเดีย แล้วก็ชอบการทำวิดีโอแบบ home video เราชอบนึก visual ของมิวสิควิดีโอไว้ก่อนแล้วด้วย เราจะจินตนาการองค์ประกอบต่างๆ ออกว่าเรื่องราวกับภาพจะเป็นประมาณไหน เวลาทำ MV หรือแต่งเพลงมันก็จะช่วยขับเคลื่อนกันเองค่ะ พวกปกอัลบั้มกับอนิเมชั่นเราก็วาดเอง ส่วนการเขียนเพลงก็ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นอินกับหนังหรืออนิเมะเรื่องอะไรด้วย"

หนังกับมังงะที่ชอบคือเรื่องอะไร?

"สำหรับหนัง มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราไม่เคยบอกใครเลยว่าชอบ มันคือ ‘The Diaries of Teenage Girl’ ถ้าจำไม่ผิด คนกำกับจะเป็นผู้หญิงที่เป็น editor มาก่อน แล้วเราเป็น editor พอรู้ว่าเขากำกับมันก็เลยโดนเส้นค่ะ และอีกเรื่องที่เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของเรา คือ ‘Sing Street’ ส่วนมังงะ เราเพิ่งเริ่มอ่านได้ไม่นานนี้เอง เรื่องที่ชอบที่สุดคือ ‘The Promised Neverland’ "

เนื้อหาและการนำเสนอเพลงส่วนใหญ่ของเราจะเกี่ยวกับอะไร

"วาดฟ้าเขียนเพลงจากความรู้สึกตัวเองล้วนๆ เลยค่ะ เมื่อก่อนวาดฟ้าชอบเขียนไดอารี่ แต่หลังๆ มานี้เราระบายความรู้สึกของตัวเองออกมาเป็นเนื้อเพลงแทน แล้วก็พยายามที่จะสรรหาคำมาอธิบายความรู้สึกของตัวเองออกมาผ่านเนื้อเพลง ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของชีวิตเราเองค่ะ บางครั้งก็จะจินตนาการขึ้นมาเองว่าเราไปเจออะไรมา มีตัวละครลับเป็นใคร มาจากสิ่งรอบข้างและเหตุการณ์รอบตัว" 

“ตอนไปแลกเปลี่ยน วาดฟ้าต้องเลี้ยงเด็ก 7 ขวบ 1 คน และคู่ฝาแฝดอายุ 3 ขวบ พอเลี้ยงเด็กแล้วเราก็ได้อะไรจากเขามาเยอะมาก เราทำเสียงเด็กได้ ทำตัวเป็นเด็กก็ได้ เราชอบช่วงเวลานั้นที่สุดค่ะ”

การเรียนดนตรีช่วยให้ทำเพลงดีขึ้นจริงไหม

"จริงๆ แล้วสิ่งหนึ่งที่ช่วยวาดฟ้าเขียนเพลงได้ดีขึ้นมามากๆ แบบปัจจัยหลักคือ ตอนที่ไปแลกเปลี่ยน วาดฟ้าเรียนแจ๊ส แล้วมันมีแบบฝึกหัดที่ให้ร้องเมโลดี้ไปเรื่อยๆ จากคอร์ดที่เขาให้ ซึ่งตอนเรียนทำไม่ได้เลย แต่พอได้สกิลนั้นมา เรากลับรู้สึกว่ามันช่วยได้เยอะมาก เราสามารถร้องโต้เมโลดี้ออกมาให้เป็นความรู้สึกของตัวเองได้ ก็ถือว่าดนตรีเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเรา"

she's in a cage – เพลงนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร 

"Cage ในที่นี้เป็นความรู้สึกเหมือนการใช้ชีวิตวนอยู่ในลูปของตัวเอง มันมาจากช่วงโควิดที่เราอยู่แต่ในห้อง และรู้สึกว่าตัวเองทำแต่ความผิดพลาดเดิมๆ เราก็เลยแต่งออกมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนว่าตัวเองอยู่ในกรงขัง"

อะไรที่ทำให้วาดฟ้ารู้สึก "she's in a cage" มากที่สุด

"การต้องใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ค่ะ รู้สึกว่ามันทำให้เราต้องเลือกอะไรบางอย่าง โดยที่มีลิมิตของมัน แล้วก็รู้สึกว่าชีวิตของเราอยู่ในกรง"

ยากง่ายแค่ไหน กว่าจะออกมาเป็นเพลงนี้

"เพลงนี้เป็นอีกเพลงที่แต่งเสร็จค่อนข้างไว เพราะเหมือนเป็นความรู้สึกที่ท่วมท้นในช่วงนั้น แต่ว่าเบื้องหลังเราแอบไม่มั่นใจกับความไว เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองกลั่นกรองมันออกมาดีพอที่จะปล่อยแล้วหรือยัง แต่ว่าสุดท้ายเราก็ชอบอยู่ดีค่ะ ไม่ได้ผิดหวังที่ปล่อยมันออกไป ส่วนด้าน MV เราค่อนข้างมีเวลาน้อยกันมากๆ เป็น MV มีวาดฟ้าในหลายๆ ช่วงวัย เหมือนใช้ชีวิตใน Coming of Age ของตัวเองวนลูปไปเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นไอเดียของผู้กำกับ วาดฟ้าว่ามันค่อนข้างรีบไปนิดนึง ช่วงนั้นได้วาดภาพอนิเมชั่นทุกอย่างเอง ในขณะที่ขายของไปด้วย มันก็เลยวุ่นวายมาก"

พยายามสร้างจุดยืนและตัวตนแบบสุดพลัง!

"ศิลปินหลายๆ คนค่อนข้างที่จะมีประสบการณ์กับการไม่รู้ว่าตัวเองกลั่นกรองมาดีแล้วหรือยัง แต่สุดท้ายมันก็จะสวยงามในแบบของมันค่ะ แต่อุปสรรคจริงๆ ในด้านการทำเพลงของวาดฟ้าคือการที่จะต้องสร้างเกราะป้องกันให้เพลงเราไม่เหมือนคนอื่น บางทีเรากำลังอินกับเพลงสไตล์นี้หรือยุคนี้ แต่ศิลปินอีกคนก็ทำเหมือนกัน แล้วจะมาบอกว่าเราก๊อบฯ เรากลัวคนอื่นมาชี้หน้าว่า “คุณไม่สร้างสรรค์” แต่เราก็พยายามจะบอกว่า เพลงมันก็คือเพลงๆ หนึ่ง คือศิลปะที่สร้างออกมาจากตัวเรา"

“ไม่ชอบเวลาคนอื่นมาคิดว่า “เฮ้ย...ยูก๊อบฯ” เรารู้สึกว่าสิ่งนี้มันแย่มาก ก็เลยปิดกั้น ไม่ต้องสนใจ และทำของเราต่อไป”

สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่องานของเราไหม?

“ประมาณหนึ่งเลยค่ะ มันทำให้เรากังวลว่าผลงานจะบังเอิญไปเหมือนกับของใคร เรา recheck กับตัวเองอยู่เสมอว่างานที่ทำคล้ายงานของคนอื่นไหม บางทีเวลาโปรดิวเซอร์มีไอเดียอะไรใหม่ๆ ก็จะไม่กล้าใช้เท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เราเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพลงเราไม่เหมือนของใคร ไม่ว่าจะเนื้อหาหรือดนตรี แต่แค่วิชวลหรือสไตล์อยู่ใน genre ใกล้ๆ กัน เราก็พยายามเลี่ยงอยู่ดี เพราะเสียใจเวลาได้รับฟีดแบ็กว่าเหมือนกับศิลปินคนไหน มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่เราสื่อออกมาผ่านเพลงเลย พูดได้ว่าการโดนเปรียบเทียบเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ส่งผลต่องานของเราค่ะ มันทำให้เราไม่กล้าทำในสิ่งที่เป็น”

แล้วตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?

"เพิ่งมานึกเหมือนกันว่าไม่ควรไปกลัวอะไรแบบนั้นค่ะ เพราะเราก็รู้ตัวเองดีว่าเขียนเพลงนี้ขึ้นมากับมือ แล้วก็รู้ว่าเราไม่เหมือนใคร แต่มีคนพูดค่อนข้างเยอะค่ะ มันก็เลยเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเรา แล้วก็มานั่งคิดว่าจะทำยังไงให้ไม่เหมือนเขาดี ลองแต่งหน้าให้ไม่เหมือนไหม? ลองทาตาให้ไม่เข้มเท่าเดิมดีไหม? แต่เราก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว เราเองก็อยากออกจากความกลัวนี้เหมือนกัน"

"การมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ควรมาสร้างเกราะให้ตัวเองว่า ห้ามเป็นแบบไหนเด็ดขาด”

วันนี้ออกจากความกลัวได้หรือยัง

"มันเป็นความกลัวที่ผลักเข้ามาบ้าง แล้วหายไปบ้างมากกว่า"

คิดว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องราว Coming of Age ของตัวเองหรือเปล่า

"ยังไม่เคยสังเกตเลย แต่ว่าน่าจะใช่ค่ะ"

ถ้าก้าวผ่านความรู้สึกเหล่านี้ออกไปได้ เราจะกลายเป็นวาดฟ้าคนใหม่ไหม

"เราว่าศิลปินทุกคนต้องมีอยู่แล้ว คือเรามีสิ่งที่ชอบ แล้วก็จะค่อยๆ ขุดคุ้ยไปว่าตัวตนของเราคืออะไร จนกว่ามันจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการจะตามหาวาดฟ้าจริงๆ ก็ต้องใช้เวลาอยู่แล้ว รู้สึกว่าต้องค่อยๆ ปล่อยมันออกมา ต้องทำเพลงไปเรื่อยๆ ก่อนค่ะ วาดฟ้าเองก็รอวันนั้นอยู่เหมือนกัน”

“ตอนแรกเราทำเพลงเศร้าส่งไปให้พี่ที่ค่าย แล้วเขาบอกว่า “ขอที่สดใสกว่านี้ได้ไหม เพราะเราเป็นตัวแทนของ coming of age มีความ youth power” วาดฟ้าก็กลับมาคิดเลยว่า จริงๆ แล้วเราคืออะไรวะ? (หัวเราะ) ซึ่งก็ต้องค่อยๆ กลั่นกรองออกมาผ่านการทำเพลงไปเรื่อยๆ ตอนคุยกับค่ายเขาบอกว่าเรากำลังมาแค่กลิ่น เราต้องมาให้ชัดแล้วว่านี่คือวาดฟ้า ซึ่งตอนนี้รู้สึกว่าเรากำลัง posing สิ่งนั้นออกมา"

เราเคยผ่าน Coming of Age อะไรมาบ้างแล้วในชีวิต?

"มีครั้งหนึ่งก่อนจะไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ คือเราเป็นคนชอบแต่งตัวมาก ตอนเด็กเวลาไปไหนก็ชอบแต่งตัวตลอดเวลา แค่ติวหนังสือก็แต่งตัวแล้ว แต่สังคมโรงเรียนมันไม่ได้ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เราก็โดนคนไม่ชอบบ้าง นั่นก็เป็น coming of age แรกของเราเลย หลังจากนั้นเราแต่งตัวจัดกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกว่าช่างมันแล้ว ซึ่งที่กล้าแต่งตัวจัดกว่าเดิมก็เพราะเราออกมาจากสังคมนั้นแล้วด้วย หลังจากย้ายมาอยู่ในสังคมที่กว้างกว่า ทุกคนก็ชื่นชมการแต่งตัวของเรา ก็เลยแต่งเยอะขึ้นกว่าเดิม (หัวเราะ)"

สไตล์การแต่งตัวของวาดฟ้า

"คุณแม่ชอบแต่งตัวมากและจับเราแต่งตัวตั้งแต่เด็ก ที่สำคัญคือเขาเป็นคนเปิดโลกเสื้อผ้ามือสองให้กับเราด้วย เราก็เลยชอบเสื้อผ้ามือสอง เพราะได้นิสัยนี้มาจากคุณแม่”

คุณแม่เป็นอะไรให้กับชีวิตของเราบ้าง

"เป็นหลายอย่างค่ะ เวลาเราอยากทำอะไรแม่ก็จะเป็นแรงผลักดันตลอดเวลา อยากแต่งตัวก็พาไป คุณพ่อเองก็สนับสนุน จริงๆ แล้วทั้งครอบครัวเลยค่ะ วาดฟ้าได้อะไรมาจากครอบครัวเยอะ เนื่องจากพ่อก็เป็น NGO และลงพื้นที่บ่อยๆ เขาก็จะชอบเล่าเรื่องสังคมให้เราฟัง ซึ่งพ่อลงพื้นที่ แม่เขียน เราก็จะได้อะไรแบบนั้นมา �