Life

เตรียมรับมือ 10 กลุ่มอาชีพ ถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

“บทความนี้เกี่ยวกับบทบาทที่ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการแรงงาน สมัยนี้การพัฒนาและการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้าสู่สถานการณ์ทำงานกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติในกระบวนการผลิต ระบบตอบรับลูกค้าทางอินเตอร์เน็ต หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจ ปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทั้งกระบวนการทำงานและบรรยากาศการทำงานในองค์กรในปัจจุบัน”

ต้องบอกเลยว่า ผมมีอาการเสียวสันหลังวูบวาบเมื่ออ่านเนื้อหาข้างต้น เป็นเพราะว่ามันถูกสร้างขึ้นมาด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่พวกเรารู้จัก และเรียกกันจนชินปาก เพียงแค่ป้อนคำสั่งในหัวข้อที่คุณต้องการ อย่างกรณีข้างบนก็คือ ‘ปัญญาประดิษฐ์ และวงการแรงงาน’ ที่น้องปัญญาประดิษฐ์สามารถสร้างสรรค์บทความหนึ่งย่อหน้าออกมาได้อย่างบรรเจิด ทำเอานักเขียนอย่างผมตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ด้วยความที่เป็นงานเขียนจาก AI ก็ยังมีจุดที่ต้องพัฒนาอีกเยอะ แต่ทำออกมาได้เท่านี้ก็เห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางยุคสมัย ที่ในไม่ช้าเราต้องอยู่ร่วมกับ AI แน่ๆ

นอกจากที่วันนี้เราจะเปิดบทสนทนาด้วยความสามารถของ AI แสนฉลาด แต่ไม่เพียงแค่นั้นมันยังเป็นแรงงานที่ไม่มีชีวิต นั่นหมายความว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอาชีพต่างๆ มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงให้ AI เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นแน่นอน

10 กลุ่มอาชีพที่ AI (มีโอกาส)จะเข้ามาแทนที่มนุษย์

การเข้ามามีบทบาทของ AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่ทำให้เห็นได้ว่า เราสามารถพัฒนาความคิดไปได้สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง แต่การมาของมันยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่มากมายเหมาะสมกับการทำงานร่วมกันกับมนุษย์ หรือไม่ก็ทำงานแทนที่มนุษย์ไปเลย แล้วกลุ่มอาชีพไหนบ้างล่ะที่มีแนวโน้มความเสี่ยงสูงกับการถูกแทนที่ด้วย AI

  1. ช่างซ่อมแซมเครื่องจักร: อาชีพที่มีความเสี่ยงจะถูกแทนที่ด้วย AI เพราะความสามารถในการวิเคราะห์เครื่องจักรด้วยความแม่นยำในระบบต่างๆ และช่วยลดระยะเวลาในการจัดการซ่อมแซมส่วนที่ผิดพลาดได้ดี
  2. ผู้ดูแลระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ: สารสนเทศในยุคสมัยปัจจุบันเป็นข้อมูลที่เยอะมาก การใช้มนุษย์หรือ AI ในการจัดการระบบ ย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เหมือนกัน แต่ว่า AI จะมีข้อดีในด้านระยะเวลาการทำงานที่อาจจะลดเวลา และลดความผิดพลาดได้มากกว่ามนุษย์
  3. นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล: การจัดการกับข้อมูลที่เป็นตัวเลข ไม่ว่าจะทางธุรกิจ หรือวิทยาศาสตร์ AI สามารถเข้าไปมีบทบาทได้มากเลยทีเดียว ในปัจจุบันการจัดการข้อมูลรูปแบบนี้ก็มีเครื่องมือเทคโนโลยีช่วยอยู่แล้ว เป็นเหตุที่ทำให้ AI มีโอกาสจะเข้ามาแทนที่สูงมาก
  4. ผู้จัดการโครงการทางเทคโนโลยี: อาชีพนี้ดูเหมือนจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงในบริษัทเลยทีเดียว แต่ก็ไม่วายเสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI เหมือนกัน เพราะว่า AI สามารถช่วยในการวางแผนงานที่เป็นโครงการเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลพร้อมกับการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อให้โครงการเสร็จสิ้นตรงตามระยะเวลา และงบประมาณที่กำหนดได้เหมือนกับมนุษย์เลย
  5. นักวิจัยทางการแพทย์: AI สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลที่มีได้เหมือนกับมนุษย์ และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ได้ เช่น การวินิจฉัยโรค การคาดการณ์ผลการรักษา เรียกได้ว่า มีโอกาสสูงมากถ้าหากจัดการองค์ความรู้ดีๆ อาจจะไม่ต้องใช้มนุษย์ในการควบคุมงานแล้วปล่อยให้ AI ดำเนินการทั้งหมดเองเลยก็ได้

ทั้ง 5 อาชีพที่เราได้วิเคราะห์มาว่า มีโอกาสสูงที่จะถูก AI แย่งงานได้ ยังมีเหตุผลนอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้วอยู่อีกหลายข้อ 

  • การเพิ่มประสิทธิภาพ และความถูกต้องในการทำงาน ตอนนี้ผู้พัฒนามีความเห็นว่า AI สามารถช่วยลดเวลา และความผิดพลาดจากการทำงาน พร้อมทั้งมีความแม่นยำในการวิเคราะห์ข้อมูล และการตัดสินใจที่ดี
  • การเพิ่มความสามารถในการประมวลผลข้อมูล AI สามารถจัดการกับข้อมูลที่มีปริมาณมาก และซับซ้อนได้อย่างมีระบบ และมีประสิทธิภาพ
  • พัฒนาความสามารถในการตัดสินใจ AI มีความสามารถที่ช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้นมาก จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้อง และมีความละเอียดอ่อนด้านการคำนวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เป็นตัวเลข สายการวิเคราะห์ที่อ้างอิงตัวเลขเป็นหลักจะต้องชอบมากที่ AI เข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการลดความผิดพลาด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่น้อง AI จะชนะพี่มนุษย์ได้ในสายงานเหล่านี้

นอกเหนือจากนี้เรายังมีอีก 5 อาชีพที่เสี่ยงพอๆ กันอยู่อีก ได้แก่

  1. พนักงานธนาคาร: อาชีพนี้เป็นกลุ่มอาชีพที่น่าจะมีความรู้สึกตัวก่อนอาชีพอื่นๆ มาก เพราะปัจจุบันการทำธุรกรรมที่ธนาคารไม่ค่อยเป็นที่นิยมอีกต่อไปแล้ว ด้วยการมาของ Mobile Banking ที่สามารถทำธุระต่างๆ ผ่านมือถือบนระบบออนไลน์ได้ทันที ไม่ต้องมาเสียเวลาต่อแถวที่ธนาคาร ประกอบกับข่าวการเลิกจ้างพนักงานธนาคารที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พนักงานธนาคารจึงเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกแทนที่ด้วย AI 
  2. พนักงานสายการบิน: เหมือนกับกรณีของพนักงานธนาคารที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ใช้บริการได้ดีขึ้น ทั้งระบบการจองตั๋ว ฝ่ายสนับสนุน หรือระบบการเช็คอินออนไลน์ในบางเที่ยวบิน เป็นต้น เรียกได้ว่า ผู้คนในตำแหน่งงานนี้ถูกโจมตีด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างชัดเจน นอกเหนือจากเรื่องการให้บริการยังมีเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนามาต่อเนื่องอย่าง ‘การบินไร้คนขับ’ (Auto Pilot & Drone) ที่เข้ามามีบทบาทการควบคุมเครื่องบินในอนาคตที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ นับว่าเสี่ยงมากเลยทีเดียวที่จะถูกลดจำนวนพนักงานที่เป็นมนุษย์แล้วแทนที่ด้วยเครื่องจักร และ AI
  3. พนักงานขนส่งสินค้า: การขนส่งก็เป็นอาชีพที่เสี่ยงไม่น้อยเลยกับการถูกแทนที่ด้วย AI ทั้งการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ และการส่งสินค้าด้วยโดรนที่ส่งผลโดยตรงกับพนักงานขนส่ง
  4. พนักงานบริการลูกค้า: เป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่ถูกคุกคามด้วย AI มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เพราะการเข้าสู่โลกดิจิทัล สังคมออนไลน์ ทำให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมาคือ ร้านค้าออนไลน์ ที่แรกเริ่มเดิมทีก็ใช้พนักงานที่เป็น Admin ในการบริการลูกค้า ก่อนที่จะมีเทคโนโลยี Chat Bot เข้ามา ช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถตั้งค่าบอทเหล่านั้นให้ตอบคำถามกับลูกค้าได้ โดยอาจจะไม่ต้องใช้ Admin เลย กรณีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับธุรกิจอื่นๆ เช่น โรงแรม โรงหนัง ร้านอาหาร เป็นต้น ทำให้กลุ่มอาชีพนี้เสี่ยงที่จะเสียงานให้กับน้อง AI 
  5. ผู้ช่วยแพทย์: จากการที่ AI สามารถเข้าถึงการวิเคราะห์ข้อมูลของอาการ และโรคที่อาจเกิดขึ้นกับคนไข้ได้ ผู้ช่วยแพทย์อาจจะเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ไปเป็น AI แทนก็เป็นได้

นี่เป็นเพียงกลุ่มอาชีพที่เราวิเคราะห์จากข้อมูลที่มีว่า มีความเสี่ยงในการถูกแทนที่ด้วย AI ไม่ว่าจะเป็นเพราะ ความสามารถในการวิเคราะห์ที่แม่นยำของเทคโนโลยี หรือเหตุผลอื่นๆ มันเป็นความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าหากสังคมเราเข้าสู่ยุคสมัยที่พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญคือ พวกเราต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยให้มากยิ่งขึ้น พัฒนาทักษะให้สอดคล้องกับการช่วยเหลือทางเทคโนโลยี ในอนาคตเราอาจจะอยู่ร่วมกับเทคโนโลยี และมีมันมาแบ่งเบาภาระ แทนที่มันจะมาแทนที่เรา 

5 อาชีพที่จะไม่ถูกแทนด้วย AI เพราะความเป็นมนุษย์

ทุกคนได้เห็นกลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงต่อการโดนแย่งหน้าที่ไปให้ AI ทำแทนกันแล้ว เรามาดูกลุ่มอาชีพที่มีเกณฑ์น้อยในการถูกแทนที่ด้วย AI กันบ้างดีกว่า

  1. นักวิทยาศาสตร์: เพราะว่าการทำงานในด้านวิทยาศาสตร์ สาขาต่างๆ อย่าง ชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมี ต้องการความเชี่ยวชาญที่ลึกซึ้ง และความคิดสร้างสรรค์ที่นอกกรอบ ไม่ใช่การระบุให้ทำตามระบบ เพราะการพัฒนามันไม่มีขอบเขต และมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้ระบบที่ตีกรอบอย่างแน่นหนาสมบูรณ์
  2. ศิลปิน และนักออกแบบ: การสร้างสรรค์ผลงานทางด้านศิลปะในประเภทต่างๆ ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่มีกรอบ ไม่มีคำว่าถูกผิด ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับ AI ที่ต้องใช้ชุดคำสั่งในการระบุความเป็นไปของหน้าที่นั้นๆ 
  3. ศึกษาศาสตร์: การสอน และการศึกษาวิจัย มีโอกาสที่จะถูกแทรกแซงด้วยเทคโนโลยีอย่าง AI แต่มันไม่สามารถถูกแทนที่ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ประสบการณ์ร่วมในการสอน การส่งเสริม และการพัฒนามนุษย์ เรามีหน้าที่พัฒนาเทคโนโลยี แต่เทคโนโลยีไม่สามารถพัฒนาเราได้
  4. ผู้ให้คำปรึกษาด้านอารมณ์ และความรู้สึก หรือจิตแพทย์: การให้คำปรึกษาเหล่านี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ และสิ่งที่ AI ไม่เข้าใจอย่าง ความรู้สึก และอารมณ์ของความเป็นมนุษย์ ผู้ทำอาชีพนี้ต้องเป็นมนุษย์ที่เข้าถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ และความรู้สึกเท่านั้น AI คงไม่สามารถเข้าถึงได้
  5. ผู้บริหารและผู้นำ: การเป็นผู้บริหารในองค์กร หรือการเป็นผู้นำมีหน้าที่ตัดสินใจอย่างสำคัญ และเป็นผู้กำหนดทิศทางขององค์กรไปสู่ความสำเร็จ นั่นหมายถึง มันต้องอาศัยความเป็นมนุษย์ และการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เพื่อการนำพาไปสู่การเติบโตขององค์กร การถูกนำด้วย AI คงไม่สามารถซื้อความเชื่อใจจากมนุษย์ได้เต็มร้อย

เราจะสามารถเห็นความเหมือนกันของกลุ่มอาชีพทั้ง 5 ได้เลยก็คือ ความเป็นมนุษย์ ที่รวมประสบการณ์การใช้ชีวิต วัฒนธรรม วิถีชีวิต ความคิดอย่างเป็นปัจเจกบุคคล ความแตกต่าง ที่ไม่สามารถถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์ได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์, การคิดนอกกรอบ, การเข้าใจอารมณ์และความรู้สึก, การเข้าถึงสุนทรียภาพ ที่ AI คงไม่มีวันเข้าถึงได้ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้กลุ่มอาชีพทั้ง 5 (หรืออาจจะมีมากกว่านี้) ไม่ถูกแทนที่ด้วย AI แต่ยังคงต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และสังคมที่พัฒนาขึ้นไปตามยุคสมัย

ผลกระทบของการปรับใช้ AI ในองค์กร

ท้ายที่สุดนี้เราจะพามาดูผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ในการปรับใช้ AI ในองค์กร เผื่อจะเป็นแนวทางการพัฒนา และปรับเปลี่ยนเพื่อความก้าวหน้าขององค์กรทุกคน

  1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: จากคุณสมบัติที่แม่นยำ และละเอียดกว่ามนุษย์ ทำให้ช่วยลดเวลา และความผิดพลาดได้อย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้องค์กรสามารถใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
  2. ลดต้นทุน: ค่าจ้างพนักงานเป็นสิ่งที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะการเข้ามาแทนที่ของ AI ทำให้งบประมาณขององค์กรลดลงอย่างมาก และได้รับแรงงานที่ใช้งานได้ตลอด และมีความเป็นระบบ
  3. การตัดสินใจตามคำสั่งอย่างตรงไปตรงมา: ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้เวลาน้อยกว่ามนุษย์ ทำให้การตัดสินใจตรงไปตรงมา และลดเวลาให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ไปโฟกัสการทำงานที่ส่วนอื่นได้อีกด้วย
  4. เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร: ส่งเสริมการทำงานร่วมกันของมนุษย์ และเทคโนโลยีอย่าง AI ให้ทำงานร่วมกันเป็นเรื่องปกติ เป็นสภาพแวดล้อมการทำงานแบบใหม่ ทันสมัย

แต่ผลกระทบทั้งหมดเป็นเพียงการคาดการณ์จากความสามารถของ AI เท่านั้น อาจจะมีความแตกต่าง และการเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ เราจึงมีหน้าที่เพียงพัฒนาทักษะของตัวเองให้สามารถอยู่ร่วมกับพวกมันได้โดยใช้ประโยชน์จากพวกมันอย่างสูงที่สุด

หากวันหนึ่งปัญญาประดิษฐ์ต้องเข้ามาทำงานแทนมนุษย์

จากแนวทางความเสี่ยงของสายงานที่จะถูกแทนที่ด้วย AI มักจะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ คำนวณ การจัดการที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข หรืองานที่สามารถระบุความถูกผิดได้ ทำให้เห็นว่ามันมีแนวโน้มสูงมากที่จะถูกพัฒนามาเป็นตัวช่วย มากกว่าการเป็นตัวแทนมนุษย์ในการทำงานในสายงานที่เราได้บอกไป เพราะความถูกต้อง แม่นยำ และความว่องไวเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ AI เหนือกว่ามนุษย์แต่การขาดความเป็นมนุษย์ของมัน ก็เป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถมาแทนมนุษย์ได้ ไม่เพียงแต่สายงานนี้เท่านั้น เรายังมองว่าปัญญาประดิษฐ์ถูกพัฒนาเพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือมนุษย์มากกว่าจะแทนที่เป็นแรงงานหลักของอุตสาหกรรมในระบบเศรษฐกิจ

แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ AI เข้ามาเป็นแรงงานสำคัญแทนที่มนุษย์ เรามองว่า กระแสของแรงงานจะเปลี่ยนแปลงไป AI จะเข้ามาทำงานแทนมนุษย์จริง แต่จะเป็นกลุ่มอาชีพที่สามารถระบุความถูกผิด และมีรูปแบบการจัดการที่ตายตัว อย่างเช่น กลุ่มงานบริการ กลุ่มการวิจัย และกลุ่มงานคำนวณ ที่เนื้อหางานไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์คอยตรวจสอบ สามารถปล่อยให้ AI รันงานไปได้ตลอดเวลา และระบบเศรษฐกิจจะสร้างกลุ่มอาชีพใหม่ขึ้นมา เพื่อเพิ่มเติมการหายไปของอาชีพที่ AI รับไปทำแทน โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นมนุษย์ และการเข้าถึงอารมณ์จะได้รับความนิยมขึ้นอย่างมาก 

ดังนั้น เรามองว่าการเข้ามาของ AI อาจจะกระทบสายงานต่างๆ ได้จริง แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้มนุษย์ว่างงาน สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหานั้นคือ การไม่ปรับตัว หรือปรับตัวไม่ทันต่อกระแสโลกที่เปลี่ยนไป เลยคิดว่า AI จะมาแย่งงานพวกเขา กลับกันเรามองว่า การเข้ามาของ AI ทำให้เกิดแรงงานที่ลดต้นทุนในการจ้างมนุษย์ และสร้างสรรค์อาชีพใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อสนับส