ในสังคมที่ความเชื่อหลักถูกจำกัดไว้เพียง “พุทธเถรวาท” เคยคิดไหมว่ามีวิธีไหนอีกที่เป็นทางหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เผชิญอยู่ทุกวันในชีวิต หลายๆ คนเริ่มตระหนักว่าการดำเนินชีวิตผ่านความเจ็บปวดที่ไม่เคยได้รับการเยียวยานั้น ไม่อาจช่วยให้เขาหลุดพ้นจากภาวะที่กำลังเผชิญอยู่ได้แม้จะนั่งสมาธิภาวนาเป็นเวลานานหลายต่อหลายชั่วโมงก็ตาม จึงทำให้ต้องออกแสวงหาวิธีการอื่นๆ ที่นำไปสู่การเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญกับต้นตอของปัญหา
หนึ่งในวิธีที่ว่ากันว่าแรงที่สุดคือ การดื่มเถาวัลย์ที่ถูกนำมาเคี่ยวในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นำโดยชามันตามที่ชนเผ่าในเปรูกระทำสืบเนื่องกันมานับพันปี หรือที่เรียกกันว่า “Ayahuasca” ซึ่งไม่ใช่สารเสพติดที่ให้โทษแก่ร่างกาย แต่เป็นเถาวัลย์ชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบหลักเป็นโมเลกุล DMT ซึ่งเป็นสารที่เราหลั่งออกมาเมื่อแรกเกิด เวลาที่เราหลับ และเมื่อเรากำลังย้ายภพภูมิ พูดง่ายๆ ก็คือตอนกำลังจะตายนั่นเอง! อยากรู้แล้วใช่ไหมว่าประสบการณ์ในพิธีกรรมขณะที่สาร DMT ออกฤทธิ์มันเป็นยังไง ล้อมวงกระชับให้แน่นเข้ามาเลย
เจ-กรนัท สุรพัฒน์ อดีตนักกิจกรรมตัวยงจากรั้วเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ภาคอินเตอร์ที่ปัจจุบันรับบทเป็นวิทยากรจัดหลักสูตรพัฒนาบุคลากร มีประสบการณ์กับ Ayahuasca สองครั้งแล้วที่เกาะพะงัน ได้ย่อยประสบการณ์ของทั้งสองครั้งให้แก่เราฟัง
“เจเป็นคนสนใจด้านจิตวิญญาณอยู่แล้วและรู้ว่ามันคืออะไร แต่อยากมีประสบการณ์ตรงที่ชัดเจนมากกว่านั้น เคยได้ยินมาว่าพิธีกรรมนี้มันทำให้เราสามารถกลับเข้ามาสื่อสารกับโลกภายในของตัวเองแบบไม่ใช่แค่ความรู้สึกนึกคิด แต่เป็นการรู้จักตัวเองทั้งภายนอกและภายใน เราเป็นคนที่ตามหาความรู้สึกแบบนี้มาตลอดเพื่อคลี่คลายปมต่างๆ ในชีวิตอยู่แล้ว ทริปนี้ทำให้เราได้พบว่าความปรารถนาที่จะได้รับความรักหรือเป็นที่ต้องการมันไม่อาจได้มาจากบุคคลต่างๆ ที่เราเคยปรารถนาเขา แต่มันได้จากความรู้สึกหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติแบบที่เราสัมผัสได้ในทริป ซึ่งเราได้เห็นว่ามันเป็นภาวะต่างหาก ไม่ใช่บุคคล ไม่มีคนๆ ไหนจะพาเราเข้าสู่ภาวะนี้ได้เพราะมันอยู่ตรงนี้อยู่แล้ว รวมทั้งคำสั่งสอนทางศาสนาที่เราเคยอ่านทั้งหมดทั้งมวล มันก็อยู่ในนี้อยู่แล้วเหมือนกันทุกศาสนาโดยไม่มีการแบ่งแยก ซึ่งเราได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกนี้อยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะเริ่มได้ยินเสียงร่ำไห้กรีดร้องของคนที่อยู่ในพิธีด้วยกัน บางรายก็เรียกชื่อเรา ตอนนั้นคือตอนที่เรารู้สึกว่าถึงเราจะมีความสุขอยู่ในภาวะนี้ แต่มนุษย์ยังต้องเผชิญกับอีกหลายภาวะ โดยเฉพาะการติดกับอยู่ในกับดักทางความคิดและอารมณ์ของตนเองจนตีความทุกอย่างผิดไปจากความเป็นจริง จนนำมาซึ่งความรู้สึกขาด กลัว และยิ่งทำให้หลงเข้าไปติดอยู่กับความไม่รู้มากขึ้น
หลังจบทริปนี้เจรู้สึกดีอยู่หลายสัปดาห์เพราะเกิดการตกตะกอน แต่แล้วสถานการณ์ที่เราต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ทำให้เรากลับคิดถึงการได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เลยตัดสินใจมา และจักรวาลก็จัดสรรให้ได้มานั่งในพิธีกรรมอีกครั้งโดยครั้งนี้ได้ทำในกระโจมแบบชนเผ่าอินคาในป่าลึก ยิ่งให้บรรยากาศใกล้เคียงกับป่าอะเมซอน
จากที่ตอนแรกเรากังวลถึงความไม่สบายโน่นนี่ในตอนแรก เมื่อเถาวัลย์สกัดได้ออกฤทธิ์แล้ว เรากลับยิ่งรู้สึกดื่มด่ำกว่าครั้งก่อน จึงทำให้ตระหนักรู้ขึ้นมาว่านี่แหละคือสิ่งที่เราขาดหายไป มันเป็นการตอกย้ำความรู้สึกจากในครั้งแรกให้ลึกลงไปถึงแก่นว่าอย่าลืมความสัมพันธ์ของตัวเรากับธรรมชาติ ในขณะที่หูรับฟังบทเพลงที่ขับขานโดยชามัน เราก็ค่อยๆ รู้สึกว่าหัวใจมันค่อยๆ เปิดออกมากขึ้นเรื่อยๆ จนความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ภายในอย่างท่วมท้นได้หลั่งไหลออกมาเป็นน้ำตา และหลังจากนั้นเราได้เข้าสู่ภาวะสงบสุขจนมาถึง ณ วันนี้”
“สิ่งสำคัญที่สุดที่ได้จากประสบการณ์นี้คือการกลับมาทบทวนถึงภาวะที่เกิดขึ้นแล้วจำให้ได้ว่าเราดึงตัวเองออกมาได้อย่างไรเมื่อตกไปอยู่ในหล่มความคิด ถ้าเราลืมตรงนั้นไปเมื่อเกิดปัญหาหรือทุกข์ขึ้นมา เราก็จะวนกลับไปติดหล่มเดิมนั่นอีก ในความคิดของเจ Ayahuasca ช่วยให้เราได้เห็นความเป็นจริงของกระบวนการทำงานของจิต แต่เราต้องใช้ปัญญาของตัวเองเพื่อเรียนรู้ว่าเราจะก้าวข้ามมันได้ยังไง”
สำหรับ เอิร์น - สาวิตร ทองสุข ทัณฑแพทย์หนุ่มอนาคตไกลก็เป็นอีกคนที่ได้เข้าร่วมพิธีกรรมนี้สองครั้งแล้วที่เกาะพะงันเช่นกัน ได้แบ่งปันว่า “สำหรับเอิร์นแล้ว Ayahuasca เป็นเหมือนเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้เราได้เชื่อมต่อกับองค์ความรู้ทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ก่อนที่เอิร์นจะร่วมพิธีครั้งแรก เอิร์นรับบท seeker ออกตามหาปัญญาญาณและความศักดิ์สิทธิ์จากโลกภายนอก เอิร์นมุ่งมั่นศึกษาเพื่อค้นพบให้ได้ว่าการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ divine หรือความศักดิ์สิทธิ์คืออะไร และจากประสบการณ์ครั้งแรกเอิร์นก็ได้สัมผัสพลังแห่งความรักความเมตตาจากพระแม่ทารา พระแม่อุมา หรือแม้แต่พระแม่มารี และมันเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมยอดจริงๆ
แต่แล้วเอิร์นก็ได้พบว่าประสบการณ์นี้ยังเต็มไปด้วยอัตตาของตัวเอง สุดท้ายเอิร์นได้เกิดการตระหนักรู้ว่าจิตวิญญาณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ที่แท้จริงก็คือตัวแทนของความรักอันไร้เงื่อนไขนั่นเอง ประสบการณ์นี้ทำให้เอิร์นอยากรู้สึกใกล้ชิดกับความศักดิ์สิทธิ์อีก จึงเป็นที่มาของการเข้าร่วมวงพิธีกรรมอีกเป็นครั้งที่สอง แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราไม่ได้คอนเนคกับความศักดิ์สิทธิ์แบบครั้งแรกเลย แต่แล้วมันกลับทำให้เราเข้าใจว่าตัวเรานั่นเองแหละที่เป็นภาชนะที่ห่อหุ้มความศักดิ์สิทธิ์อยู่ มันทำให้เรารู้ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม หากเราเลือกที่จะอยู่กับตัวเราเองในเวลาปัจจุบันโดยที่ไม่ต้องไปค้นหาจากภายนอก เราสามารถที่จะเข้าถึงประสบการณ์เหล่านี้ได้ด้วยตัวเองเลย”
“สิ่งสำคัญที่สุดที่เอิร์นค้นพบจากการทำครั้งที่สองคือการศิโรราบอยู่กับปัจจุบันเพราะนั่นคือประตูแห่งการตระหนักรู้ เวลาที่จิตมันอยากย้อนไปในอดีตคุณเลือกได้เลยว่าคุณจะย้อนไปเพื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดหรือเลือกที่จะเรียนรู้ ขณะเดียวกันคุณก็ค้นพบจุดโฟกัสที่จะเล็งเป้าไปสู่อนาคตที่คุณต้องการ ซึ่งก็คือหัวใจของการ manifest นั่นเอง”
เมย์ - ภัทรภร ศรีถาวร อดีตนักศึกษาภาพยนตร์ ที่ผันตัวมาเป็น sustainable fashion stylist แย้มให้เราฟังว่า
“ประสบการณ์ที่เมย์ได้รับคือการเผชิญหน้ากับความตาย ซึ่งเมย์ไม่ยอมศิโรราบเลยและสู้สุดใจ ตอนนั้นเมย์นึกถึงหนังที่เคยดูมาอย่าง Soul, Inside Out หรือ The Matrix ที่มีฉากที่แสดงให้เห็นถึงภาวะของจิตในระหว่างการย้ายภพ เมย์สู้วนอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงๆ ทั้งกลับมาที่ลมหายใจทั้งสวดมนต์ จิตมันกำลังจะไปต่อแต่เรารู้ว่าเรายังไม่ตายก็สู้อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งชั่วโมงสุดท้ายที่เมย์รู้สึกว่าน้ำอ้วกทั้งหมดในตัวเรามันคือน้ำคร่ำในท้องแม่แล้วทุกอย่างก็เริ่มหมุนติ้วจนกระทั่งทุกอย่างหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจักรวาล เมย์รู้สึกว่าเพราะจิตของมนุษย์ขาดการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแหล่งที่มาของเราจึงทำให้เรากลัวและต้าน เมย์เคยศึกษาคำสอนมามากมายเกี่ยวกับภาวะจิตว่าอะไรที่ทำให้เรากลัว แต่จากทริปนี้มันทำให้เราเข้าใจทั้งหมด เพราะทุกวันนี้เมย์ยังเจอ side effect ของประสบการณ์นั้น คือตื่นนอนมากลางดึกแล้วยังรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ได้จากประสบการณ์นั้น แม้จะผ่านมา 3-4 เดือนแล้ว หรือเวลาเดินๆ อยู่แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในบอร์ดเกมส์ที่ใหญ่มากๆ และมีใครคนหนึ่งคอยคอนโทรลมันอยู่แล้วตัวเราก็เดินวนซ้ำๆ ไปมาอยู่อย่างนั้น ซึ่งมันน่ากลัวเพราะเราไม่รู้ว่าเรากำลังเผชิญกับอะไร รู้แต่ว่าเรารู้สึกเบื่อที่จะต้องมาเดินวนซ้ำไปมาอยู่ในเกมส์นี้”
“ยอมรับว่า Ayahuasca มอบองค์ความรู้ที่ยิ่งใหญ่และเข้มข้นมากให้แก่เราแต่ความรู้สึกของเมย์คือเรายังไม่มีภาชนะที่จะรองรับความรู้นั้น มันเหมือนเราได้เห็นความจริงบางอย่างแต่เรายังรับความจริงนั้นไม่ได้ ซึ่งบางครั้งมันอาจจะเป็นเพราะเรายังมีความไม่มั่นคง (ungrounded) มากๆ”
จากประสบการณ์ของฉันเองที่เคยได้รับยาตัวนี้เข้าร่างกายเมื่อ 7 ปีที่แล้วในขณะที่ชีวิตอยู่ในช่วงขาลงสุดๆ ฉันฝืนความกลัวกล้ำกลืนเขาผ่านลำคอโดยที่ไม่คาดหวังอะไรทั้งสิ้นเพราะชีวิตช่วงนั้นไม่มีอะไรให้คาดหวังอีกแล้ว แต่แล้วสิ่งที่ได้สัมผัสคือความรักอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่มารดาผู้ให้กำเนิดทุกชีวิตมีให้เราอยู่ตลอดเวลา ฉันร้องไห้ราวกับเด็กทารกในขณะที่สปิริตของโมเลกุลนี้เฝ้ากระซิบปลอบโยนว่าฉันได้รับการปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดีจากจักรวาลจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกต่อไป ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตฉันไม่มีสิ่งใดที่ไม่ดีและทุกคนที่เข้ามาในชีวิตล้วนมีนัยยะอะไรบางอย่างที่สำคัญ และในวินาทีนั้นฉันได้รักและโอบกอดทุกๆ สรรพสิ่งอย่างแท้จริงด้วยหัวใจที่ได้รับการเยียวยาแล้วด้วยความรักที่จักรวาลมอบให้แก่ทุกคน