“เป็นมนุษย์ แต่อาจจะคิดอย่างอมนุษย์ก็ได้ นั่นแหละคือความสามารถพิเศษของจิต” – พุทธทาสภิกขุ
“คนเราสามารถเกิดมาแล้วเลวเลยได้ไหม” คือคำถามที่ใครหลายๆ คนน่าจะเคยเก็บมาฉุกคิด เพราะบ่อยครั้ง เราจะเห็นข่าวเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะกระทำการร้ายกาจจนน่าตกใจ เช่น ขโมยของ ชกต่อย ลวนลาม ข่มขืน กลั่นแกล้งเพื่อนที่โรงเรียน หรือกระทั่งฆาตกรรม จนกลายเป็นอาชญากรที่ทุกคนมองว่า ‘กู่ไม่กลับ’ หรือ ‘เกินเยียวยา’ ก่อให้เกิดการตั้งข้อสงสัยที่ว่าเด็กจะทำเรื่องชั่วร้ายแบบนั้นได้อย่างไร ต่อไปจนถึงคำถามที่กล่าวเมื่อข้างต้น
บางครั้งเด็กก็ถูกเปรียบเป็นผ้าขาวบริสุทธิ์ที่จะถูกแต่งแต้มด้วยสีต่างๆ เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไป โดยสีเหล่านั้นคือประสบการณ์อันบ่มเพาะให้เด็กแต่ละคนเติบโตมาด้วยมุมมองที่แตกต่างกัน แนวคิดนี้ตรงกับความเชื่อของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ‘ฌอง ฌาค รุสโซ’ (Jean-Jacques Rousseau) ที่ว่ามนุษย์นั้นเกิดมาดีโดยธรรมชาติ แต่อารยธรรมที่มาพร้อมกับความอิจฉาและความหวาดระแวงจะหล่อหลอมให้คนกระทำชั่วได้
ในทางกลับกัน ‘โทมัส ฮอบส์’ (Thomas Hobbes) มองว่ามนุษย์มีความเลวร้ายและเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่กำเนิด เพราะการตัดสินใจของมนุษย์มักจะบิดเบือนเมื่อมีความชอบพอหรือถูกโน้มน้าวด้วยอะไรสักอย่าง แต่การอยู่ร่วมกันจะขัดเกลาให้กลายเป็นคนดีขึ้นได้ด้วยกฎเกณฑ์ของสังคม เมื่อลองเอาแนวคิดทั้งสองมาเทียบกันดูจะเห็นว่า ถึงจะมีความแตกต่าง แต่จุดหนึ่งที่พวกเขาเห็นพ้องกันก็คือ “จิตนั้นอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าภายนอก”
เป็นจริงตามนั้น หากอ้างอิงตามหลักจิตวิทยา คนเราเติบโตและมีความคิดอ่านที่ต่างกันด้วยสภาพแวดล้อมและโครงสร้างของสังคม ซึ่งทุกคนได้รับผลกระทบจากสิ่งต่างๆ ในทันทีที่ลืมตาดูโลก เราจึงคงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าใครสักคนหนึ่งเลวตั้งแต่เกิด มีแต่คนที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ หรือมีโรคทางจิตเวช
‘การตัดเค้กที่ทำนายว่าใครจะกลายเป็นอาชญากร’ (ケーキの切れない非行少年たち) โดย โคจิ มิยางุจิ (宮口幸治)