หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน เชื่อว่าคนที่คลุกคลีกับวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง ทีมงาน หรือแม้แต่แฟนคลับเอง ต้องคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ที่ตีกรอบให้นักแสดง LGBTQ+ ต้องปกปิดอัตลักษณ์ทางเพศและเพศวิถีของตน และแสดงออกได้ตามเพศกำหนดเท่านั้น เพื่อให้อยู่ในวงการได้นาน เพราะสังคมขณะนั้นยังไม่เปิดกว้างเรื่องความหลากหลายทางเพศ ซึ่งแน่นอนว่าแตกต่างจากสมัยนี้โดยสิ้นเชิง
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ‘เอิร์ธ – กัษมนณัฏฐ์ นามวิโรจน์’ ก็เป็นคนแรกที่ผู้เขียนนึกถึง เพราะติดตามมาตั้งแต่สมัยที่เจ้าตัวยังเป็น Cute Boy ในแฮชแท็ก #ช้างเผือกอยู่ในป่า เริ่มเข้าวงการบันเทิงด้วยซีรีส์เรื่อง ‘บังเอิญรัก’ ‘ด้ายแดง’ ตลอดจน ‘ลุ้นรัก 12%’ และได้กลายเป็นไอดอลด้านการแต่งตัวของผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 2.2 ล้านคน ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ เอิร์ธไม่เคยปิดบังเรื่องเพศของตัวเอง และในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเขาตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา ได้สะท้อนบางมุมมองของวงการบันเทิงและสังคมไทยที่มีต่อนักแสดง LGBTQ+ ได้มากทีเดียว
เริ่มต้นบนเส้นทางนักแสดง
เรียนสถาปัตย์อยู่ดีๆ ทำไมถึงเบนสายมาทำงานในวงการบันเทิง?
“จริงๆ ไม่เคยมีแพลนด้านการแสดงเลย แค่เคยไปถ่ายรูปเล่นกับเพื่อน เป็น portrait เซตแรกในชีวิต แต่มีคนแชร์ไปลงเพจ แล้วพี่ทีมแคสติ้งซีรีส์บังเอิญรักมาทาบทามให้แคสฯ บทน้องต้า ก็เลยอยากลองดูว่ามันจะเป็นยังไง ตอนนั้นขึ้นเครื่องมากรุงเทพฯ 2-3 ครั้ง ก่อนที่จะแคสผ่านยังคุยกับแม่อยู่เลยว่า ดีนะ ที่เขาไม่หลอกมาขาย (หัวเราะ)”
“ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ชอบการแสดงนะ ร้องไห้และเครียดบ่อยมาก เพราะโดนด่าที่เล่นไม่ได้ เราไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าการแสดงคืออะไร แต่สิ่งที่ทำให้อยากทำตรงนี้ต่อคือการที่ได้เจอกับคนอื่น มีคนมาชอบ มารัก และมีความสุขไปกับเรา เป็นเรื่องที่ใหม่มากๆ พอจบเรื่องด้ายแดงก็เริ่มเห็นว่าตัวเองมีสกิลการแสดงซ่อนอยู่ เลยเริ่มจริงจังกับอาชีพนี้ เอิร์ธคิดว่าการแสดงเป็นอะไรที่ชาเลนจ์ตัวเอง พอเราเล่นบทที่ยากขึ้นได้ก็จะรู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก”
กว่าจะเต็มที่ก็เคยโดนผู้ใหญ่สั่งห้าม
นอกจากฝีมือการแสดงและความชอบในอาชีพนี้จะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เรามองว่าเอิร์ธเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดคือ การแสดงออกตามเพศวิถี ทุกวันนี้เอิร์ธทำอะไรหลายๆ อย่างได้เต็มที่ โดยมีคนมากมายคอยเชียร์อัพ แต่ใครจะรู้ว่ากว่าจะมีวันนี้ได้ เขาก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ผู้ใหญ่สั่งห้ามอยู่เหมือนกัน
“สมัยที่เราเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ ทีมงานก็จะบรีฟเลยว่าต้องพยายามอย่าออกสาวเยอะนะ ซึ่งเราเข้าใจในบริบทยุคนั้น แต่ลึกๆ แล้วก็รู้สึกต่อต้านนิดหน่อย แน่นอนว่าเราไม่เถียงออกไป แค่แย้งอยู่ในใจ แล้วก็มีบางครั้งที่มีคนมาพูดว่าเราไม่ได้งานเพราะสาวเกินไป มันทำให้รู้สึกเสียใจมากเหมือนกันว่าทำไมความเป็นเราถึงไม่ถูกยอมรับ แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว คนมีความรู้ความเข้าใจกันมากขึ้น และเห็นว่า LGBTQ+ เป็นเรื่องปกติ สังคมและวงการบันเทิงก็เปิดกว้างมากขึ้น”
ความยากง่ายกับการเป็นเอิร์ธในเวอร์ชั่นปัจจุบัน
“ช่วงแรกๆ ที่เข้าวงการเป็นช่วงของการค้นหาตัวเอง เพราะพอคนรู้จักเร็วก็ทำให้ปรับตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง กลัวว่าจะทำแล้วดูเยอะเกินไป เลยต้องหาจุดยืนของตัวเองไปเรื่อยๆ จากตอนแรกที่ออกแนวเรียบร้อย น่ารัก ตอนนี้ก็กลายเป็นคนที่มั่นใจ สนุกกับการแต่งตัว เสื้อผ้าที่ใส่ถ่ายรูปลงอินสตาแกรมกับติ๊กต็อกหรือใส่ออกงานก็หาเองเกือบทั้งหมดเลย แต่การแสดงออกอย่างเต็มที่ก็จะมาพร้อมกับการคิดเยอะขึ้น เพราะเวลาเราทำอะไรลงไปก็จะมีผลทั้งกับตัวเองและสังคม มันจะเป็นที่จดจำ เหมือนเป็นโปรไฟล์ติดตัวเราไปตลอด ด้วยความที่อยู่ในจุดที่มีคนติดตามเยอะ ถ้าจะไม่แคร์อะไรเลยก็คงไม่ได้”
“แต่ถ้าเป็นเรื่องงานในวงการกับแฟนคลับ ต้องใช้คำว่าค่อนข้างโชคดีเลย ไม่เคยเป็นอุปสรรค เพราะเมื่อลูกค้ารู้ว่าเราเป็น LGBTQ+ ที่มีคาแรคเตอร์ชัด งานที่เข้ามาก็จะเฉพาะเจาะจงเพื่อเรา ส่วนแฟนคลับทั้งไทยและต่างชาติน่ารักกับเรามาตั้งแต่แรก และพอเราชัดเจนในความเป็นตัวเองมากขึ้น เวลาลงรูปหรือทำคอนเทนต์อะไร เขาก็ยิ่งเชียร์อัพและช่วยปกป้องเราจาก hate speech ในโซเชียลมีเดียด้วย”
ความเป็น LGBTQ+ กับบทบาทในซีรีส์วาย
ในฐานะนักแสดงที่เล่นซีรีส์วายเป็นหลัก ความเป็น LGBTQ+ ของเรา ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบในการทำงานไหม?
“ได้เปรียบเยอะ มันช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกของตัวละครว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง และทำงานง่ายขึ้น เช่น บทที่โดนบุลลี่หรือการเติบโตมาในสังคมที่ไม่ได้เปิดกว้าง เราก็จะเข้าใจได้ดีเพราะเคยผ่านมันมาก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่านักแสดงที่เล่นซีรีส์วายควรเป็น LGBTQ+ เสมอไปนะ เพราะทุกคนเท่าเทียมกัน วงการนี้เปิดสำหรับทุกเพศ แต่ว่าถ้าได้โอกาสมาเล่นซีรีส์แล้ว ก็อยากให้ช่วย call out พูดถึงความเท่าเทียมทางเพศในแง่มุมต่างๆ ให้มากขึ้น”
เพศวิถีไม่ใช่กรอบจำกัดในการทำงาน
“เอิร์ธเคยคิดว่าเพศเป็นข้อจำกัดเหมือนกัน แต่ก็เลิกคิดไปแล้ว เพราะเชื่อว่ามันอยู่ที่ลุคกับคาแรคเตอร์ที่ทีมงานต้องการมากกว่า อย่างเอิร์ธคงไม่สามารถเล่นบท masculine หรือผู้ชายแมนๆ ได้ แต่ยังไงก็ต้องมีบทหรือคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับเรา หรือมีอะไรที่มันไปด้วยกันได้ เช่น แฟชั่น การแต่งตัว ซึ่งเป็นจุดขายของเรา”
คิดว่าจะเป็นอย่างไรถ้าในอนาคตวงการบันเทิงมีนักแสดง LGBTQ+ มากขึ้น
“นักแสดง LGBTQ+ จะทำให้วงการบันเทิงของบ้านเรามีความหลากหลายมากขึ้น มีหลากหลายคอนเทนต์ให้คนได้เลือกเสพ ทำให้ผู้ชมได้เปิดมุมมองหลายอย่างผ่านจอ และในอนาคตเราก็อาจจะเป็นเหมือนประเทศโลกที่ 1 ที่เขาเปิดรับความหลากหลายทางเพศทั้งทางปาก ใจ และกฎหมายอย่างแท้จริง เพราะการแสดงก็คือการแสดงครับ ไม่ว่านักแสดงจะเป็นชาย หญิง หรือ LGBTQ+ เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เข้าไปทำงาน สามารถทำตามบทบาทได้ดีไม่ต่างกัน”
สุดท้ายนี้ เอิร์ธกล่าวทิ้งท้ายก่อนจบบทสนทนากับเราว่า ในฐานะคนที่สามารถก้าวข้ามกรอบของแวดวงการทำงานและสังคมมาได้แล้ว เขาอยากให้กำลังใจกับ LGBTQ+ คนอื่นๆ ที่อาจจะยังไม่กล้า come out ด้วยข้อจำกัดบางอย่างว่า “ตอนนี้สังคมของเราเปิดรับมากกว่าเมื่อก่อน ถ้าอยากทำหรืออยากเป็นอะไร ขอให้เชื่อมั่นในตัวเองแล้วลงมือทำเลย พยายามท้าทายกับตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ต้องแข่งกับใคร แล้ววันหนึ่งมันจะเป็นวันของเรา”
https://www.youtube.com/watch?v=vQKRY1p0dRM
ติดตาม ‘เอิร์ธ กัษมนณัฎฐ์’ ได้ที่
Instagram: cooheart
Twitter: cooheartt