“ลูกคอไทยไร้ขีดจํากัด สารพัดจะเป็นไปได้” คติประจำใจของ ‘เติ้ล’ เด็กกรุงเทพฯ ผู้หลงไหลรากความเป็นอิสาน “ผมโตในกรุงเทพฯ ผมพูดอิสานไม่ได้ น่าเสียใจมากๆ” กับพ่อ และแม่คนบุรีรัมย์ที่เดินทางเข้ากรุงเพื่อหางานทำ โตมาในร้านเสริมสวยที่แม่ทำงาน กับการฟังวิทยุที่คุณพ่อเป็นคนจัดรายการ ในระหว่างที่กำลังถูกหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมป๊อป และความเป็นสากล ก็วาดฝันด้วยเรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณตาผู้เป็นหมอลำ และน้องชายคุณตาที่เป็นหมอแคน จนกลายเป็นตัวแทนของการหล่อหลอมความหลากหลายทางวัฒธรรมสื่อเข้าไว้ด้วยกัน
อะไรที่ทําให้บิทเติ้ลตกหลุมรักกับเพลงลูกทุ่ง หมอลำ และศาสตร์ไทยเดิม?
“คุณพ่อเคยเป็นนักจัดรายการวิทยุเพลงลูกทุ่งด้วย แล้วผมจะได้ฟังรายการที่คุณพ่อจัด เหมือนเขาเป็นวัยรุ่นตอนนั้นอายุยังไม่เยอะพอเขาจัดรายการมันก็เกิดสีสันใหม่ๆ เพราะลูกอ่อนลูกทุ่งมันจะจัดแบบเคร่งๆ ตึงๆ แต่พ่อผมก็จะแซวคนฟัง เล่นกับคนฟัง จนคนฟังเยอะ แล้วก็มีค่ายเพลงมาช่วยคุณพ่อผมไปเป็น Producer เพลงลูกทุ่ง เพราะงั้นเวลาผมอยู่ในรถที่เขาขับมาส่งผมที่โรงเรียน เขาก็จะเปิดเพลงที่ตัวเองกำลังทำ เปิดไกด์เพลงที่นักแต่งเพลงร้องมาเปล่าๆ บางทีเขาขอความเห็นจากผมว่าคนนี้ควรร้องเพลงนี้ หรือเปล่า ทั้งๆ ที่ผมเป็นเด็กแต่เขาก็คุยด้วย ทําให้ผมโตมาก็เห็นเขาทํางานอย่างใกล้ชิด”
“ผมเรียนโรงเรียนเรวดี เป็นสถานที่ที่ผมเริ่มหัดแต่งเพลงจริงๆ แต่ผมจะไม่เหมือนเด็กคนอื่นในโรงเรียนนี้เท่าไหร่เพราะว่าเด็กที่นี่โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนเอกชน ในเวลานั้นเพื่อนๆฟังเพลงฝรั่ง หรือเพลงไทยสากลกัน ไอ้เราตอนเด็กๆได้ยิน แต่ลูกทุ่ง ได้ยินขับเสภาในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ เราก็รู้สึกว่ามันมันเท่ว่ะ แต่เพื่อนก็ชวนให้เราฟังเพลงอื่นๆ ไปด้วย แล้วครูก็ชอบให้ออกไปร้องเพลงหน้าชั้น แต่ไม่ว่าจะเพลงอะไร ไทย สากล หรือภาษอังกฤษ มันก็จะมีสําเนียงลูกทุ่งออกมา เพื่อนก็ขำ เราก็ไม่เก็ต มันไม่ได้ถึงขนาดเหยียดหรอก มันเหมือนความไม่เข้าใจกันมากกว่า แต่เราก็รักของเรา อะไรก็มาสั่นเราไม่ได้ 555”
เสน่ห์ของศิลปินลูกทุ่ง หรือไทยเติมมักเริ่มจากชื่ออย่าง มนต์แคน แก่นคูน หรือ ยุ้ย ญาติเยอะ งั้นที่มาของชื่อ บิทเติ้ล ไอ้แมงคาม หล่ะ? การใช้ทั้งสองชื่อมีความสำคัญต่อตัวบิทเติ้ลอย่างไรในฐานะศิลปิน
“จริงๆ ผมชื่อเติ้ลนะ พอเข้าเรียนการแสดงที่ มศว. แล้วเขามีกฏห้ามชื่อซ้ำ เขาก็เลยให้ผมชื่อ ‘บิทเติ้ล’ เขาบอกว่าเพราะนายเป็นนักแต่งเพลง เลยเอาคำว่า Beat ที่แปลว่าจังหวะมาใส่ บวกกันเป็น Reference ถึง The Beatle ด้วย กลายเป็นที่ชื่อผมถูกเรียกจนทุกวันนี้พ่อแม่ผมยังเรียกผมว่า บิทเติ้ล เลย แต่พอไปออกงานต่างจังหวัด ชาวบ้านเรียกผมไม่ถูกนะ แล้วพอ Beatle มันแปลว่าด้วงในภาษาอังกฤษ แมงคามในภาษาอีสานก็คือด้วงเหมือนกัน ดังนั้นอันนี้เป็นชื่อที่เป็นตัวตนในการสื่อสารสองแบบ กับตัวตนของตัวเองในลักษณะที่มีส่วนทั้งที่เป็นวัฒนะธรรมป๊อปสากลในฐานะ ‘บิทเติ้ล’ และส่วนที่ตัวเองต้องการที่จะเข้าใจรากเหง้าพื้นถิ่นของตัวเองมากขึ้นในฐานะ ‘แมงคาม’ “
จากความชอบ และการเติมโตมาให้สังคมที่บ่มให้บิทเติ้ลได้รับแรงบันดาลใจจากทั้งไทย และ สากล ทำให้บิทเติ้ลสนใจ และได้ลองการนำเสนอศาสตร์ไทยเดิมในรูปแบบใหม่
“ตอนนี้ผมทําคอนเทนต์บน Tiktok ใช่ไหม แล้วผมก็มาดีไซน์ มาจัดหมวดหมู่สิ่งต่าง ๆ ที่ตัวเองทำเสร็จแล้วก็พบว่าทั้งหมดที่ผมทําคือสิ่งที่ผมหลงใหลและชื่นชอบในวัยเด็กทั้งสิ้น ผมตื่นเช้ามาจะได้ยินเสียงพ่อจัดรายการวิทยุ แม่เปิดเพลงลูกทุ่งจากวิทยุที่พ่อทำ ส่วนผมจะรอวันเสาร์อาทิตย์ที่ตื่นเช้ามาจะได้ดูการ์ตูนตอนเช้าช่วงเก้า เปิดสลับกับเกราะเพชรเจ็ดสีช่องเจ็ด แม่ทำร้านเสริมสวย ก็จะได้ยินคนนินทากันเป็นภาษาอิสาน เราก็นั่งดูหนัง Hollywood อยู่ พ่อแม่กลับบ้านมา เขาก็ชอบเล่าเรื่องที่บ้านต่างจังหวัดให้ฟัง แต่เราก็โตที่กรุงเทพฯ ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนั้นก็คือเป็นส่วนประกอบที่ในที่สุดแล้วพอโตขึ้นมามันยํากันบ้าง มันผสมคลุกเคล้ากันบ้าง ก็เอาทั้งหมดนั้นเป็นแรงบันดาลใจ”
“ผมเคยออกเพลงกับ RS ซึ่งมันก็เป็นรูปแบบงานเพลงที่ผมอยากทํามาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วมันโดนคนถามว่าสิ่งนี้เป็นเพลงลูกทุ่งหรือเปล่า เหมือนแบบว่ามันกําลังถูกจ้องว่าอะไรเป็นลูกทุ่งหรือไม่ ช่วงนึงมันอาจจะมีคําจํากัดความที่ชัดเจนแต่ว่าตอนนี้ก็อ่อนลงเรื่อยๆ แล้ว ผมเลยเริ่มมามองว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันคืออะไร ผมก็เห็นว่า มันมีความเป็นลูกทุ่ง แต่ผมไม่ใช่ลูกทุ่งแท้ๆ แน่ๆ แล้วมันก็มีการพูดถึงกระแสคลื่นลูกใหม่ the next generation ของลูกทุ่ง ผมเลยเรียกงานตัวเองว่า หลานทุ่ง ที่แปลว่าก้าวต่อไปของเพลงลูกทุ่ง”
“ผมตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าผมจะหาพิกัดหรือว่าเพดานใหม่ๆ ในการที่จะสํารวจความเป็นไปได้ของการประพันธ์ และการร้องลูกคอหรือท่วงทํานองของเพลงลูกทุ่ง หรือวิธีการเล่าเรื่องของเพลงลูกทุ่ง เราต้องสกัดว่า Essence (แก่นแท้) ของเพลงลูกทุ่งคืออะไร”
แล้ว Essence (แก่นแท้) ของเพลงลูกทุ่งที่ว่าสำหรับบิทเติ้ลมันมีรูปแบบยังไง?
“เอสเซนส์ของเพลงลูกทุ่งก็คือชีวิต เพลงลูกทุ่งจะเล่าถึงชีวิตที่เป็นเนื้อเป็นหนัง หลายคนคงรู้แล้วแหละว่าลูกทุ่งก็คือการประพันธ์กลอน มีลูกเอื้อน ลูกอะไร ผมรักที่มันมียอมรับความหลากหลาย และความความร่ำรวยของสําเนียงในแต่ละพื้นที่ ที่มีเพลงเหล่านั้นเกิดขึ้น แต่กับอีกส่วนหนึ่งคือการพูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ และสภาพสังคมแบบจริงใจ เช่น ต้องเป็นคนเลี้ยงควาย ต้องเอาควายไปฆ่า เพื่อให้แม่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะแม่เป็นมะเร็ง เราไม่จะค่อยพบเพลงนี้ในเพลงป๊อป เรามักจะพบหลักฐานอย่างนี้อยู่ในเพลงลูกทุ่งชัดเจน”
อย่างจริงๆ อัลบั้ม ‘หลานทุ่ง’ ออกมาเมื่อปีที่แล้ว และเพลงในอัลบั้มหลานทุ่งผมจะมีการค้นหาความเป็นไปได้ในเชิงดนตรีใหม่ๆ อันนี้ไปรวมกับ J-Rock อันนั้นไปรวมกับ Jazz พยายามหาว่าเพดานของศาสตร์นี้มันอยู่ที่ไหนโดยยังคง Essence ของความเป็นลูกทุ่ง และความเป็นไทยอยู่ แล้วปีนี้ก็อยากจะปล่อย MV เรื่อยๆ แต่อยากให้ทุกคนได้ลองฟังกันนะครับ ส่วน MV จะทยอยมาเมื่อมีเงิน 555”
ศิลปินหลายคนมักมี Gimmick หรือจุดเด็น และสิ่งที่คนจะจําได้นอกจากชื่อ และวิธีการนำเสนอสื่อของบิทเติ้ลก็คือตัวหมวกที่เป็นหมวกด้วง หรือหมวกแมลงคาม
“มันเกิดมากจากตอนเด็กๆ ผมเห็นอุปกรณ์ดักปลาอันนึงเวลากลับไปเยี่ยมต่างจังหวัด จำชื่อไม่ได้ แต่มันเป็นทรงกระบอกแล้วเราก็ไปเล่นกับมันเพราะมันดูเท่ดี พอตอนนี้มองย้อนกลับไปก็คือรู้สึกว่าการถักสานไอ้อุปกรณ์เนี่ยมันสวย ผมเลยอยากทําสิ่งนี้ขึ้นมาใส่ตัวเองตอนทำ Branding แล้วก็เพราะเราใช้ชื่อแมงคามเนี่ยก็เลยออกแบบมันเป็นเขาของด้วง แล้วเราก็นั่งวาดเอง ออกแบบเองเลย แล้วคนที่ทำให้เนี่ยก็เป็นคุณป้า เราค้นหาศิลปินที่เป็นนักหัตถกรรมพื้นบ้านครับ ซึ่งก็ไปเจอคุณป้าชื่อประเพ็ญ อยู่ที่พนัสนิคม เออไปค้นจนเจอแกแล้วก็ขับรถไปหา แล้วก็ป้าเพ็ญช่วยทําหน่อยความยาวสูงเท่านี้เป็นแบบนี้แบบนี้ป้าเพ็ญทําได้ไหมอะไรอย่างนี้ป้าเพ็ญเขาก็ทําให้ ซึ่งตอนนี้ก็ทำมา 6 แบบแล้ว มีด้วงเฮอร์คิวลิส ด้วงกว่างไทย ด้วงกรรไกร จริงๆมันก็เป็น Metaphor แล้วก็เหมือนแบบเป็น ผมชอบซูเปอร์ฮีโร่ใช่ไหมครับ ชอบสไปเดอร์แมนชอบแบทแมนแต่ก็รู้สึกว่าโอเค มันเป็นแมลงที่เกิดมาเป็นหนอนอยู่ในดิน แล้วมันก็ฟอร์มตัวให้กลายเป็นดักแด้ที่อยู่ใต้ดินเสร็จแล้วมันก็ค่อยค่อยทรานส์ฟอร์มจนกลายมาเป็นแมลงที่มีเขาและเป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ บางตัวสู้จนตายเลยก็มี”
เสน่ห์อย่างนึงของคอนเทนต์บท Tiktok ของบิทเติ้ลคือการเอา reference ที่เป็น Pop มาประกอบกับศาสตร์ที่มันเป็นแบบไทยเดิม เราดึงเอาแรงบันดาลใจพวกนี้มากจากไหน
“จริงๆก็คือผมไปดู multiverse of madness มา 555 แล้วว่างไม่ทําไร ก็เลยเดินกลับบ้าน แล้วระหว่างเดินไปผมก็เลยแบบร้องเล่นๆ อะ สงสารแวนด้าทั้งชีวิตเศร้าอะ ร้องไปเองก็ขำเอง ผมทําติ๊กต็อกมาแล้วสักพักนึงแต่ไม่มีคนดูเลยนะ ก็เลยรู้สึกว่าได้เวลาลองทําสิ่งใหม่ๆ ดู คืนนั้นก็เลยแต่งเพลงวันด้าลง นอนไปคืนนึงตื่นมา โอ๊ยคนดูเป็นแสนเลย สนุกเลยงั้นไปหมดเลย ไปสไปเดอร์แมน ไปแฮร์รี่ พอตเตอร์ เราได้ร่วมสิ่งที่เราสนใจจากสองโลกเข้าด้วยกัน เราก็สนุก คนดูก็สนุก แล้วจากหลายๆ ศาสตร์ที่เราไม่ได้ทำจริงจัง แบบแหล่ หรือหมอลำ เราก็ได้หัดไปพร้อมๆ กับคนที่เขาเอนจอยกับเรา”
ตอนเนี้ยมันมีเรื่องออกมาอยู่เรื่อยๆ กับสิ่งที่หลายคนเขามองว่าการเอาอะไรที่เป็นวัฒนธรรมไทยเดิมมาประยุกต์บางทีมันจะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่แบบไม่ควรทํา หรือควรเอามาล้อเล่น เติ้ลในฐานะคนที่อยู่ในวงการนี้ แล้วก็ทําอะไรแบบนี้ เติ้ลมีความรู้สึก หรือมีอะไรอยากจะพูดถึงแบบจุดนี้ไหม?
“ตอนแรกผมก็กังวลเหมือนกัน พยายามทําให้ถูกต้องตามขนบ แต่พอปล่อยโล่งจริงๆ แล้วทุกอันที่ผมทําอะมันสนุกเพราะว่าผมต้องการสํารวจตรงนี้ด้วยแหละว่ามันมีลิมิทอยู่ที่ตรงไหน แต่จริงๆ ต้องย้อนกลับมาดูว่าเราทําไปเพราะว่าเรามีความปรารถนาดีต่อสิ่งนี้จริงๆนะ เราอยากจะให้มันมีก้าวต่อไปใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ผมนิยามมันไว้ว่าแบบว่าที่เป็นมอตโต้เลยนะผมบอกว่า “ลูกคอไทยไร้ขีดจํากัด สารพัดจะเป็นไปได้” เพราะว่าต้องการที่จะทําให้คนเห็นถึงความเป็นไปได้ มันอาจจะไม่ได้ถูกตามหลัก หรืออาจจะไม่ได้เพราะอะไร แต่ที่ทํากันอยู่เนี่ยไม่ใช่ไม่ดีแต่เราควรหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้มันเช่นกัน แล้ววัฒนธรรมไม่ควรเป็นของสงวน มันเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจําวัน แต่เราต้องเอามาใช้ให้ apply ในชีวิตประจําวันได้ยังไงมากกว่า
ซึ่งนั้นคือทำไมผมผลิตชิ้นงานแบบนี้ออกมา มีลักษณะของการที่ทําให้คนเห็นว่าหัวใจของมันคืออะไร และขณะเดียวกันก็ยังสามารถที่จะเอนจอยกับมันได้ในชีวิตประจําวัน ผมก็อยากให้งานของผมสะท้อนถึงสิ่งนี้”
เติ้ลคือหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่ยังรักศาสตร์ที่ยังเป็นไทยเดิม แล้วก็เห็นคุณค่าของศาสตร์เหล่านี้ คิดว่าตอนนี้ในสังคมไทยหรือว่าในสังคมกลุ่มคนรุ่นใหม่ ตัวศาตร์เหล่านี้มีที่ยืนอย่างไร
“อันนี้แม่งเป็น political มากเลย 555 คือก่อนหน้านี้มันมีช่วงที่ลูกทุ่งจริงๆ drop ไปเหมือนกันนะช่วงผมโตมา ผมรู้สึกว่ามันยังไม่เกิดการกระจายอํานาจ ชาวบ้านทุกคนเริ่มเห็นความเป็นไปได้มันก็ทําให้เกิดโอกาสใหม่ๆ”
“ตอนนี้มีคนสนใจแบบผมเยอะมากเลยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่โหยหาวัฒธรรมบ้านเกิด ศิลปินที่ปกติทำเพลงแนวอื่นๆ กันก็มีการเอาส่วนประกอบจากศาสตร์ไทยเดิมไปประกอบงานเขา ประกอบเพลงเขา มันก็มีความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการนำเสนอ แต่ถึงยังไงเพลงลูกทุ่งไทยก็ยังเป็นส่วนสำคัญของวัฒธรรมป๊อปของเรา ตราบใดที่ มนต์แคน แก่นคูณ ยังคงเป็นอันดับหนึ่งในการสตรีมเพลง 555 ตอนนี้โลกมันก็ไม่ได้มีพรมแดนทางวัฒนธรรมอะไรแล้ว”
มีอะไรอยากฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่อาจจะสนใจในศาสตร์ไทยเดิม หรืออยากศึกษาในศาสตร์เหล่านี้เพื่อนำไปประยุกช์ใช้
“ผมว่าทุกคนมีความงดงามในแบบของตัวเอง มีชุดประสบการณ์ของตัวเองที่เรียนรู้มาไม่เหมือนกันในแต่ละคน ผมเอง ผมก็เอาสิ่งที่ผมสนใจจากหลายๆ โลกที่ปกติไม่ได้อยู่ด้วยกัน มารวมกัน ผมว่าความคิดสร้างสรรค์มันเกิดจากสิ่งนั้น เพราะฉนั้นถ้าเกิดเขาสนใจเรื่องวัฒนธรรมไทยก็ลองเอามาเชื่อมกับอะไรที่เราชอบอยู่แล้วดู หาจุดเชื่อมโยง ถ้าเราชอบหนังตะลุง แล้วเราเป็นนักดำน้ำเก่งๆ เนี่ย ลองดูสิ๊ มันจะมีจุดไหนที่เอามาเชื่อกันได้ เล่นหนังตะลุงใต้น้ำที่พิพิธภัณฑ์ไหม? 555 แล้วมันก็จะเป็นสิ่งที่เขามีคนเดียวในโลก เพราะคุณมีมุมมองของโลกในแบบของคุณเอง”
การผสมผสานระหว่างวัฒธรรมท้องถิ่น และวัฒธรรมสื่อทำให้เกิดดินแดนไร้พรมแดน กลายเป็นพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่หลายคนอยากเข้าไปค้นหาพื้นที่ของตัวเองในดินแดนเหล่านี้ หาจุดสิ้น หาเพดานของมัน หาจุดยืนของตัวเองในพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ผู้ใหญ่หลายคนปกป้องไม่ให้ถูกแตะต้องเพียงเพราะการเห็นว่าวัฒนธรรมไม่ควร “เอามาเล่น” ทั้งที่สิ่งที่คนรุ่นใหม่หลายๆ คนในสังคมตอนนี้คือการเข้าไปช่วยรักษา และพัฒนาสิ่งที่พวกเขารักไปกับโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน หากผู้ใหญ่ไม่แบ่งปันพื้นที่ให้เด็กๆ คนรุ่นใหม่เลยต้องไปหาพื้นที่เพื่อที่พวเขาจะได้มีจุดยืนของพวกเขาเอง