Identity

EQ Human: The Jum: ใช้ความซนส่งใจ เติมไฟให้กัน

“ตัวเจ้าไฟผมจะไม่มีทำสีเป็นไฟไปเลย แต่มันจะมีสีที่ทำให้รู้สึกสดใส

ไม่ใช่การหลอมละลาย แต่เป็นการเติมพลัง สร้างความอบอุ่นไปด้วยกัน”

“THE JUM” แก๊งการ์ตูนสุดป่วนของคุณ จั้ม ณภัทร จงจิตตโพธา โดยนำทัพด้วยเจ้าน้องไฟ “Fire Friend” ที่จะนำความซนมาส่องทางเพื่อพาเราไปค้นหาแรงบันดาลใจ และจุดประกายไฟในตัวของทุกคน ด้วยสีสัน และเรื่องราวเบื้องหลังของตัวศิลปินที่หมดแรง และกำลังใจไปกับงานจนไอ้ต้าวไฟมาปลุกให้ก้าวต่อไปทำให้เป็นที่รู้จัก และวันนี้ได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Converse!

จากนักศึกษาจบใหม่สู่พนักงานประจำงาน Product Design ที่ก็เป็นสาย Creative ที่ช่วงแรกสนุกแต่ก็จริงจังจนน่าเบื่อ ทำเอาคุณจั้มหมดไฟแต่จำใจต้องทำงานเพื่อเก็บเงินส่งเสริม และสร้างสรรค์ในงานส่วนที่ตัวเองชอบ ก่อนจะพบอุปสรรคในการสร้างงานเพราะคุ้นชินการวาดมือ และสาย 3D มากกว่าก่อนจะนำความรู้มาปรับใช้กับงาน 2 มิติจนได้ผลงานที่หลายคนชื่นชมในทุกวันนี้ กับเรื่องราวที่อาจจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนที่กำลังสร้างฝันอยู่ หรือแม้แต่คนที่ยังไม่พบตัวเอง

จากตอนแรกที่ทำ NFT แล้วขยายมาเป็น illustrator พอได้มาทำงานกับ Converse รู้สึกยังไง? ขั้นตอนการทำงานมันต่างไปไหม หรืออะไรที่เป็น Challenge ของงานนี้?

“รู้สึกดีใจมากเลยมันเป็นแบรนด์ในตำนานที่เราใส่มาตั้งแต่สมัยเรียน หรือสมัยเด็กอะครับ พอวันนึงเราได้มา Collab กัน มันก็แบบใจฟูนะ ส่วน Challenge ของงานนี้น่าจะเป็นการ Proof แบบเพราะมันต้องผ่าน 3 ประเทศ อันนี้ทีมไทยชอบ ต่างชาติไม่ชอบ มันก็เลยเป็น Challenge ที่แบบว่า เราก็แก้งานบ่อยเหมือนกันนะ แต่ด้วยการที่เราใส่ความเป็นตัวเองลงไปด้วยเงี้ย เราจะดึงเอาความเป็นไทยออกมายังไงให้ต่างชาติได้รู้ว่านี่มาจากไทยนะ เราก็เลยดึงเรื่องของสีสัน เพราะว่าเราเกิดมาในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นชุดวันสงกรานต์ มวยไทย อะไรเงี้ย มันทำให้เรารู้สึกว่าสีสันมันเป็นเรื่องน่าจดจำของประเทศไทย แล้วก็รอยยิ้มของเจ้าตัว Fire Freind มันน่าจะเป็นตัวสื่อได้ว่านี่คือความเป็นไทยของเรา ลองนึกถึงบ้านคนตามต่างจังหวัดที่สีม่วงบ้างอะไรบ้าง ไม่มีการวางแปลนสี ทำไมเมืองนอกมันดูมีมู้ด มีโทน แต่ไทยสีจะสดใสกระแทกตาเราก็เลยดึงตรงนั้นมาเป็น Inspiration ในการทำงาน เพราะเราก็เป็นเด็กต่างจังหวัดด้วย เราก็จะได้เห็นอะไรพวกนี้มามากกว่าคนอื่น”

 

คุณจั้มพูดถึงคำว่าไฟเยอะมาก แล้วตัวงานก็ได้แรงบันดาลใจมาจากไฟด้วย

ทำไมต้องมีความเป็นไฟขนาดนั้น?

“คือเราเคยเป็นคนหมดไฟ แล้วเราเจอเพื่อนแบบนานๆ ทีเจอกัน เรียนจบมาทุกคนก็บอกว่า เฮ้ย กุหมดไฟว่ะ ทุกคนก็พูดหมดไฟ หมดไฟกันหมดเลย แล้วก็เลยคิดว่าเราได้ยินคำว่าไฟตลอดอะ จนวันนึงพอเรากลับมาทำงานตัวนี้เราก็คิดไอคอนแต่โลโก้โปรไฟล์ว่าเฮ้ย เรากลับมามีไฟอีกครั้งนะ แล้วอยู่ดีๆ มันก็ไปทัชใจคนเรื่อย ๆ จนคิดว่าไอ้เจ้าไฟเนี่ยมันก็มีสตอรี่ที่แบบเรามาเติมไปไปด้วยกันนะ ด้วยตัว Character ของผมอะจากเมื่อก่อนที่ผลจะวาดที่มัน Detail ยิบๆๆๆ จนเราตัดทอนให้มันรู้สึกว่าง่าย แบบคุณไม่จำเป็นที่จะต้องวาดรูปเก่งก็ได้ แต่คุณก็สามารถเติบโตในรูปแบบของตัวเองที่ตัวเองชอบได้อะไรเงี้ยครับผม”

 

แล้วเมื่อก่อนน้องไฟหน้าตาเป็นยังไง?

“คือมันก็เป็นไฟที่ Detail เยอะๆ เป็นไฟแบบไฟเลย แล้วด้วย Element ของเนื้องานมันก็จะเป็น Detail ที่มันดาร์คๆ กว่านี้หน่อย แต่ในเบื้องลึกเราอะ เรายังเป็นคนน่ารักอยู่ แต่สังคมที่เราเติบโตมามันก็ทำให้เราดาร์คขึ้นเรื่อย ๆ จนวันนึงเรายังมีเรื่องนี้ที่มันอยู่ในใจเรา เรายังมีความน่ารักอยู่นะ เราไม่ได้ดาร์คไปหมดอะไรเงี้ย”

 

แล้วนอกจากไฟในตัวแล้ว มีอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบบ้าง? โดยเฉพาะเรื่องสี

“มันเริ่มมาจากศิลปินที่เราชอบแนว Pop Art มันมีคู่สีที่เราชอบด้วย บางคนก็ถามว่าเราชอบสีชมพูเหรอ จริงๆเราก็ไม่ได้ชอบหรอก แต่ในเบื้องลึกในใจเรา มันก็จะมีสีเราใช้มาตลอดถ้าไม่ดูในสมุดสเก็ตช์เราอะ เราก็ เอ๊ะ! ทำไมคู่สีนี้เราใช้มาตลอดเลยแบบเราไม่รู้ตัว เราก็เลยหยิบไอ้จุดนั้นมาทำการดีไซน์ พัฒนาของเรามาต่อเนื่อง เป็นสีชมพูก็น่าจะเป็นสีที่มันแบบเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ผมรู้สึกได้ว่าสีเหลืองกับสีชมพูเนี่ยผู้หญิงก็ชอบ เด็กๆ ก็ชอบ ผู้ชายก็พอเข้าได้ มันมีความซนๆ โดยสังเกตได้ว่าตัวเจ้าไฟผมจะไม่มีทำสีเป็นไฟไปเลย ผมจะไม่ทำสีนั้นเลย แต่มันจะมีสีที่ทำให้รู้สึกสดใส ไม่ใช่การหลอมละลาย แต่เป็นการการเติมพลัง สร้างความอบอุ่นไปด้วยกัน”

ตอนที่อยู่ต่างจังหวัดคุณจั้มคนพบตัวเองยังไงว่าเราชอบงานด้านนี้?

“ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนชอบอยู่แล้ว เมื่อก่อนมันจะมีพวกนิตยสารที่มันก็เปิดโลกกับเรามาก เพราะตอนนั้นพวกสื่อโซเชียลมีเดียมันก็ยังไม่มีมาก ผมก็เลยได้ช่องทางนี้ที่แบบ มันคืออะไรทำไมเขาได้วาด ได้ Collab อะไรงี้ ผมก็เลยเริ่มศึกษาด้วยตัวเอง เพราะเอาจริงๆ ที่บ้านก็ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้ พ่อก็เป็นข้าราชการ เขาก็จะไม่รู้ว่าเราสามารถไปเรียนแบบนี้ได้ ที่บ้านก็จะแอนตี้ประมาณนึงแบบไปเรียนวาดรูปทำไม แล้ววิชาวาดรูปก็เป็นวิชาเดียวที่ไม่กดดัน วิชาอื่นเราไม่อยากเข้า เราอยากเรียนอยู่วิชาเดียวเท่านั้น เรียนวาดรูปเรากล้าที่จะตอบคำถาม เป็นวิชาเล็กวิชาอะไร เราก็ไม่กล้าที่จะยกมือตอบคำถามหรืออะไร” 

คุณจั้มพูดถึงอยากให้งานสร้างไฟ หรือเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น แล้วสำหรับคุณจั้มมีใคร หรือศิลปินคนไหนที่เป็นคนเพิ่มไฟให้คุณจั้มบ้าง?

“ตอนนี้ก็น่าจะเป็นคนรอบตัวเรานี้แหละที่เป็นตัวผลักดัน อย่างครอบครัวเนี่ย ผมเอาครอบครัวเป็นหลัก จากเมื่อก่อนเราก็เป็นคนติดเพื่อน จนวันนึงสิ่งที่เราเคยทำผิดพลาดอะไรมา ครอบครัวจะคอยซัพพอร์ตเรา คอยให้กำลังใจเรา ถึงมันจะไม่ได้มาก แต่พอเราได้มาคิดกับตัวเองอีกครั้ง ก็คือครอบครัวเนี่ยเป็นแรงผลักดันในการทำงาน”

สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังหมดไฟ? 

“เรื่องพวกนี้ต้องบอกก่อนว่าเราทำอะไรแล้วมีความสุขกับมัน ด้วยยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไป เราทำอะไรก็ได้แล้วอะ โลกมันเปิดกว้างมากขึ้น ตอนนี้เราเลือกโฟกัสไปก่อนดีกว่าว่าสิ่งไหนที่เราทำแล้วมีความสุข บางอย่างมันก็มีเรื่องของเงินมาเกี่ยวข้องด้วยว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้ไหม ไหนจะค่าหอ ค่ากิน ค่าอะไร เราต้องมองก่อนว่าสิ่งไหนที่เราทำแล้วมีความสุข และสิ่งไหนที่ทำแล้วเราอยู่รอด แล้วเราเอาสองอย่างนี้มารวมกันได้ไหม เมื่อก่อนผมก็เป็นคนที่หาอะไรไม่เจอเหมือนกัน เราจะไปทำอะไรนะ เราจะมีตัวละครหลักของเราไหม แต่เราก็ทำต่อไปๆ จั้มเป็นคนนึงที่ทำมันต่อไป เรื่อยๆๆๆ จนทุกอย่างมันออกผลมา อย่าไปหยุดที่จะทำมัน เพราะถ้าหยุดมันก็จะจบอยู่แค่นั้น แถมโลกออนไลน์เนี่ยเป็นสิ่งที่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้เราได้ดี ถ้าเกิดเราใช้เทคโนโลยีเป็นตัวประชาสัมพันธ์กับเราโลกมันก็จะเปิดกว้างมากขึ้น”

สิ่งที่เรามองหามันอาจจะไม่ได้เริ่มทันทีในชีวิต ชีวิตหลังเรียนจบอาจจะไม่เหมือนอย่างที่เราคิดแต่มันมีผลกับชีวิตของเรา การมุ่งหน้าไปหาสิ่งที่เราอยากทำอย่างเดียวมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้สำหรับใครทุกคน การที่ต้องทำงานเก็บตังเพื่อเอาไปซัพพอร์ตในสิ่งที่ตัวเองรักไม่ใช่เรื่องที่ควรไปกังวล ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีทรัพยากรเหมือนกัน แต่ขอแค่อย่าหลงทางในระหว่างการเดินไปถึงจุดที่ตัวเองทำสิ่งที่ชอบได้จนลืมว่าเป้าหมายของเราคืออะไร เพราะความสุขที่ได้จากการทำสิ่งเหล่านั้นมันเป็นของเราเอง