Auto

ว่าด้วยนิยามในความไม่สอดคล้อง ของรถ EV พลังงานสะอาดแต่ที่ชาร์จไม่เพียงพอ

Photo credit: dcbel

ภาพรถบินได้อย่างกับในหนัง Sci-Fi หลายๆ เรื่อง The Fifth Element, Star War หรือ Back to the Future กำลังเข้าใก้ลมนุษยชาติขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์โลก ณ ขณะนี้อยู่ในสู่ “ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน” จากรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเผาไหม้ด้วยน้ำมันมาตลอดร้อยปี สู่รถที่ใช้พลังงานขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ไร้มลพิษ ชาร์จไฟวิ่งได้ตามความจุของขนาดแบตเตอรี่หรือ รถ EV ที่มองไปหลายๆ มิติช่างคล้ายกับโทรศัพท์สมาร์โฟนที่อยู่ในมือเราไม่น้อยเหมือนกัน

หลายประเทศโดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ มองว่าการเปลี่ยนให้คนหันมาใช้รถพลังงานสะอาด EV คือ “หนึ่งทางออก” เพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม อเมริกา ประธานาธิบดี โจ ไบเดน สนับสนุนให้ภายในปี 2030 ยอดขายรถทั่วประเทศจะต้องเป็นรถไฟฟ้า​ “ครึ่งหนึ่ง” หรือ 50% ส่วนประเทศจีนนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2009 เนื่องมาจากถูกมอง “เป็นตัวการสำคัญ” ที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเป็นจำนวนมากประเทศหนึ่ง

Photo credit: David Lee

นี่ยังไม่นับรวมในหลายประเทศๆ โดยเฉพาะในแถบยุโรปที่แทบจะออกกฎหมายวางเป้าเพื่อค่อยๆ ขจัดรถที่มีการปล่อยมลพิษเพื่อขับเคลื่อนออกไป อยากรู้ไหมประเทศไหนใช้รถ EV มากที่สุด ?

  1. Norway – 74.8% (ของยอดขายรถทั้งหมดในปี 2020)  
  2. Iceland – 45%
  3. Sweden – 32.2% 
  4. Netherlands – 24.9%
  5. Finland - 18.1%

5 ประเทศที่ยอดขายรถ EV มีสัดสส่วนมากที่สุด มาจากประเทศโซนยุโรป มากไปกว่านั้นในโซนเอเชียอย่างประเทศจีนในปี 2021 ยังมียอดจำหน่ายรถ EV สูงถึง 3.3 ล้านคัน ส่วนทางอเมริกามีจำหน่ายอยู่ที่ 310,000 คัน 

ฝั่งประเทศไทยก็ตื่นตัวในความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยเช่นกัน เราไปดูกันดีกว่าว่ามีรถ EV ที่จดทะเบียนใช้งานบนท้องถนนมากแค่ไหนแล้ว  

  • ปี 2020 ยอดจดทะเบียนรถ EV อยู่ที่ 1,056 คัน 
  • ปี 2021 ยอดจดทะเบียนรถ EV อยู่ที่ 3,994 คัน 
Photo credit: headlightmag

ใช้รถ EV แต่ไม่มีที่ชาร์จ! 

เคยอยู่ในสถานการณ์ที่โทรศัพท์แบตฯ หมดกันบ้างไหม ใช่! มันแทบจะเหมือนที่ทับกระดาษไร้ค่าไม่มีประโยชน์ เหมือนของหนักๆ ที่ไม่อยากแม้กระทั่งใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ยิ่งถ้าเป็นยานพาหนะแบตหมดวิ่งต่อไม่ได้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับรถพังกลางทางกินข้าวลิงรอขึ้นยานแม่ สิ่งนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนกังวลที่จะเลือกใช้รถรถ EV 100% โดยเฉพาะคนไทยที่เรื่องสถานีชาร์จยังขาดไปซึ่งจำนวนและคุณภาพของตัวสถานีชาร์จ 

Photo credit: Adrian N

ในปี 2022 จะมีรถจากแบรนด์ที่จำหน่ายในประเทศไทย 13 แบรนด์ มีรุ่นที่เป็นรถ EV ออกมาให้เลือก น่าจะเป็นเครื่องชี้ชัดว่ารถ EV กำลังเป็นที่สนใจของผู้บริโภคคนไทยอยู่ไม่น้อย  นอกจากตัวเลขข้างต้นกับจำนวนรถ EV ที่จดทะเบียนมากขึ้นเกือบ 400% ยังมีข้อมูลช่วงปลายปี 2021 ที่พบว่า สถานีชาร์จรถ EV นอกจากในโชว์รูมของแบรนด์รถที่จำหน่ายรถ EV แล้ว ยังมีผู้ให้บริการสถานีชาร์จน้อยเหลือเกินเมื่อเมียบกับจำนวนรถที่เริ่มออกมาวิ่งบนถนนแล้ว

  • การไฟฟ้านครหลวง (MEA) 10 จุด
  • การไฟฟ้าฝ่ายผลิต(EGAT) 13 จุด
  • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(PEA) 73 จุด
  • บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) 400 จุด
  • กลุ่มบริษัท ปตท. 30 จุด
Photo credit: 9carthai

ที่ชาร์จในไทย กระจุกตัวและน้อยเกินไป

สิ้นสุดปี 2021 มองเร็วๆ จำนวนที่ชาร์จจากแบรนด์ชั้นนำยังมีให้บริการไม่ถึง 1,000 จุดเลยด้วยซ้ำ กับจำนวนรถ EV ที่จดทะเบียน 2 ปีหลังสุด 2020-2021 ราว 5,000 คัน นับเป็นหนึ่งปัญหาที่ทำให้เกิดข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีของคนไทยอย่างปฎิเสธไม่ได้ 

หากมองย้อนไปช่วง 3-4 ปีก่อนที่รถไฟฟ้าเริ่มเข้ามาขายในไทย เทียบกับตอนนี้นับว่าราคาถูกลงมาก บางรุ่นราคารถไม่ถึงล้านบาทด้วยซ้ำจึงทำให้ผู้บริโภค “กล้า !” เริ่มหันมามองรถ EV เป็นหนึ่งในตัวเลือกของรถคันใหม่ แต่เมื่อผู้ซื้อเริ่มทำการบ้านจะทำให้เห็น  “ความไม่สอดคล้อง” ของจำนวนที่ชาร์จซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในการใช้งาน ขับไปไหนกลัวไปได้ไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ทำให้เกิดความกังวลจนสุดท้ายก็กลับมาเลือกรถที่ใช้เครื่องยนต์ปกติอยู่ดี 

นอกจากข้อมูลเรื่องจำนวนที่น้อยเกินไปกับสัดส่วนของจำนวนรถแล้ว ที่น่าสนใจและน่าจะทำให้คนที่สนใจรถ EV ต้อง “ชะงัก” ในการตัดสินใจซื้อก็คือ ตำแหน่งการตั้งของสถานีชาร์จไฟที่กระจุกตัวอยู่แต่ในกรุงเทพและปริมณฑลเสียมากกว่า 

คงไม่มีใครชอบความรู้สึกของแบตฯ โทรศัพท์เหลือ 5% หรอกใช่ไหม เช่นกันในบริบทของยานพาหนะไฟฟ้า คงไม่มีใครอยากเจอสถานการณ์การใช้รถทั้งที่รู้ว่าแบตฯ กำลังจะหมด รู้ว่าแบตฯ ไม่พอให้ถึงจุดหมายปลายทางแถมสถานีชาร์จใกล้ๆ ก็ไม่มี

อย่างไรก็ตามปัญหานี้ไม่ได้มีแค่ในไทยเท่านั้นที่ว่าเรื่องจำนวนที่ชาร์จไม่เพียงพอ เพราะไม่ว่าจะในยุโรปหรืออเมริกาก็ยังเผชิญกับปัญหานี้ด้วยเช่นกัน และคงจะมีแต่ที่จีนเท่านั้นที่แก้ปัญหานี้ได้แล้วก่อนใคร เพราะมีสถานีชาร์จภายในประเทศจำนวนมาก นับจากจำนวนทั่วโลกยังมีจำนวนแค่ 1 ใน 3 ของที่จีนมีเลยด้วยซ้ำ 

ภาครัฐสนันสนุนรถไฟฟ้า “จริงจัง” พอหรือยัง ?

หากว่าคุณมองว่ารถไฟฟ้าคืออนาคตเช่นเดียวกับที่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐที่หลายๆ ประเทศออกมาประกาศห้ามรถที่ใช้เครื่องยนต์วิ่งในเมือง หรือภาคเอกชนที่ผู้ผลิตรถหลายแบรนด์ออกมาประกาศยกเลิกการผลิตรถเครื่องยนต์ภายในอีกไม่กี่ปีในอนาคต ภาครัฐในบ้านเราก็น่าจะเห็นแนวทางของทิศทางในอุตสาหกรรมนี้ด้วยเช่นกัน 

Photo credit: InsideEVs

แต่คำถามก็คือ ! ภาครัฐของบ้านเรานั้นเอาจริงเอาจังแค่ไหนที่จะให้รถ EV กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องมือเพื่อให้อากาศสะอาดขึ้น เป็นรถที่ทุกบ้านควรมีและค่อยๆ เขี่ยให้รถเครื่องยนต์ปล่อยมลพิษนั้นลดลง เพราะในเมื่อผู้ซื้อเปิดใจแล้วแต่ยังถูกไม้กั้นอันใหญ่ขัดไว้ด้วยเรื่องของจำนวนที่ชาร์จก็ดี แถวบ้านไม่มีที่ชาร์จก็ดีทำให้เกิดขึ้นจำกัดในการใช้งาน หรือตัวเลือกประเภทรถที่ รถกระบะรถปิคอัพยังไม่มีในรูปแบบรถ EV มาให้เลือกซื้อ สุดท้ายก็กลับไปวังวนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง พอปัญหาโควิดเริ่มซาข่าวพาดหัวเรื่องมลพิษในอากาศจะถูกวนลูปถูกนำเสนอมาแทนที่ พร้อมกับต้องรอการแก้ไขซึ่งต้องใช้เวลาทั้งที่ต่างรู้ๆ กันอยู่ว่า สามารถเริ่มต้นกันได้แล้วทุกภาคส่วน 

Photo credit: dcbl

ถึงเวลาหรือยังที่ต้องเริ่มจากภาครัฐทำตัวเป็น Smart Government เป็นสารตั้งต้นของความเปลี่ยนแปลงเพื่อประชน อาทิ รถตำรวจ รถเขต รถราชการ หรือแม้แต่รถโดยสารแท็กซี่รถเมล์ บังคับเลยให้เปลี่ยนมาเป็นรถไฟฟ้า เร่งสร้างสถานีชาร์จให้มากขึ้น ทั้งเขต, อำเภอ, สถานีตำรวจ, โรงพยาบาล ฯลฯ ต้องมีให้หมดใช่แค่ภาคเอกชนต้องเหนื่อยอยู่ฝั่งเดียว เป็นต้น และเมื่อประชาชนแห่งรัฐเห็นความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้าแบบนี้ เชื่อว่าอีกไม่นานเกินไปถนนเมืองไทยก็จะมีรถ EV วิ่งมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าสภาพสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะเรื่องมลพิษทางอากาศจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน  

อ้างอิง

https://mgronline.com/motoring/detail/9640000125744

https://fortune.com/2022/01/07/china-electric-car-ev-sales-2021-growth-tesla-byd-li-auto-xpeng-nio/