กระแสรถ EV ตอนนี้ยากที่จะต้าน เหมือนเป็นคลื่นลูกใหญ่แห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่แค่บ้านเรา แต่ทั่วโลกเขาขับเคลื่อนกันไปมากแล้ว ถามว่ามากแค่ไหน? มากพอที่จะให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำหลายๆ แบรนด์ กล้าที่จะออกมาประกาศ ‘เลิกผลิตรถน้ำมัน’ ในอีกไม่กี่ปี นั่นแสดงว่า ในอนาคตไม่ช้าไม่นาน รถน้ำมันจะ ‘สูญพันธุ์’ และถูกแทนที่ด้วยรถ EV ที่แข่งกันเรื่องความฉลาด ไม่ต่างกับสมาร์ตโฟนที่เป็น ‘ของมันต้องมี’ สำหรับทุกคน(หรือทุกบ้าน)
เรื่องของดีในรถ EV หลายคนน่าจะพอผ่านตามาไม่มากก็น้อย ทั้งความประหยัด, ไม่พึ่งน้ำมัน, ไม่ปล่อยมลพิษ, ขับสนุก, บำรุงรักษาน้อยไม่จุกจิก ฯลฯ ที่นับเป็นจุดเด่นมากมาย เรียกได้ว่า ‘ใช้ก่อนประหยัดก่อน’ แต่ในแง่ของการใช้งานจริงๆ ตัวคุณเองพร้อมหรือยังสำหรับรถประเภทนี้ หรือจะค่อยๆ เขยิบจากรถน้ำมันล้วนมาเป็น Hybrid ก่อน วันนี้ EQ จะพาคุณไปดูหลายๆ ประเด็นที่น่าสนใจของรถทั้งสองประเภทนี้กัน
รถ EV สารพัดความกังวลของคนกลัว ‘ความเปลี่ยนแปลง’
รถไฮบริดอาจเป็นคำตอบสำหรับคน ‘ขี้กังวล’ หรือยังไม่พร้อมรับกับเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนผ่านชนิด ‘เต็มระบบ’ อยากมีพลังไฟฟ้ามาช่วยขับเคลื่อน แต่ยังอยากอุ่นใจว่า ไปไหนก็เติมน้ำมันขับได้อยู่
ทว่าเมื่อเหลียวมองความไม่แน่นอนของราคาน้ำมัน อีกทั้งได้เห็นความประหยัดของรถ EV จนน่าอิจฉา ชนิดที่ว่า ไม่ต้องคอยอัปเดตราคาน้ำมันอีกต่อไป ว่าจะขึ้นลงเมื่อไร น่าจะทำให้หลายคนเริ่มใจอ่อนลงมาบ้าง
“อาจจะยอมเปิดใจกับความใหม่เพื่อแลกกับความประหยัดเงินในกระเป๋าจากค่าน้ำมัน แต่ยังไม่อยากใช้รถ EV ได้อย่างสนิทใจเสียทีเดียว เพราะ ‘สารพัดความกลัว’ ในยุคเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมรถยนต์”
3 ประเด็นหลักๆ ที่ทำให้คนจะเปลี่ยนมาใช้รถ EV ยังคิดหนักอยู่ คือ
‘กลัวที่ชาร์จไม่มี’ เพราะเมื่อพูดถึงจุดชาร์จรถไฟฟ้า แม้ว่าในกรุงเทพ และปริมณฑลจะมีสถานที่ให้เลือกเข้าชาร์จ หรือจองได้เพียงพอ แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันยังไม่ ‘ครอบคลุม เมื่อเทียบเท่าปั๊มน้ำมัน หรือแม้แต่ร้านสะดวกซื้อในเส้นทางต่างจังหวัด จะขับไปแปลกที่ก็กลัวว่าแบตฯ จะหมด ไฟไม่พอวิ่ง ไปไม่ถึงจุดหมาย ต้องคอยบริหารกำลังไฟให้เพียงพอถึงจุดชาร์จ ขับขี่ได้ไม่ค่อยสนิทใจสักเท่าไร
ต่อมาคือ ‘กลัวความไม่เสถียรของตัวรถ’ คนเรามักจะกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก ยิ่งกับเทคโนโลยีใหม่ การขับเคลื่อนด้วยระบบใหม่ที่ไม่ใช่น้ำมัน คงต้องใช้เวลากับการเปลี่ยนแปลง เพราะนับตั้งแต่รถคันแรกในไทยเมื่อปี 1904 เมืองไทยต้องใช้ระบขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ที่เป็นน้ำมันมาโดยตลอด ถึงตอนนี้พอจะเปลี่ยนมาเป็น ‘ไฟฟ้า’ เวลาร้อยกว่าปีที่คุ้นชิน ย่อมต้องทำให้มีกังวลในเรื่องความไม่เสถียรของตัวรถกันบ้าง
และสุดท้ายคือ ‘กลัวแบรนด์ที่ไม่คุ้นเคย’ เมื่อรถที่คนไทยใช้ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์จาก ‘ญี่ปุ่น’ ที่ได้รับความไว้วางใจมานาน ทว่าแบรนด์รถไฟฟ้าที่เข้ามาเปิดตลาดในไทยส่วนมากในตอนนี้เป็นแบรนด์จากจีนที่หลายคนอาจไม่ค่อย ‘เชื่อมือ’ เท่าไรนัก จนมีความคิดว่า ‘หรือจะค่อยๆ ก้าวไปกับรถไฮบริดดีกว่าไหม?’
เมื่อความกังวลเกิดขึ้นในหลากหลายมิติ ทางสายกลางอย่าง ‘รถไฮบริด’ น่าจะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ซื้อรถได้ รถ Hybrid คือรถยนต์ที่ผสานการขับเคลื่อนตัวรถด้วยเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า สลับกันโดยแบ่งการทำงานของแต่ละระบบตามย่านความเร็วของตัวรถ คือ การออกตัว, ความเร็วต่ำ และความเร็วสูง เมื่อมีระบบไฟฟ้ามาช่วยขับเคลื่อน ย่อมส่งผลให้เครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักอย่างโดดเดี่ยว ตัวรถมีการสลับการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากแบตฯ รวมไปถึงยังมีระบบปั่นไฟกลับไปที่แบตฯ มาใช้ได้อีกด้วย เป็นที่มาของการกินน้ำมันน้อยลงกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปปกติ
หรือรถยนต์ไฮบริดอีกประเภทที่เรียกว่า ‘PHEV’ อีกระบบที่เข้าใกล้รถ EV มากขึ้น ด้วยช่องเสียบชาร์จไฟเข้าแบตฯ ได้เหมือนรถ EV โดยไม่ต้องรอเครื่องยนต์ปั่นไฟให้ แต่แบตฯ จะมีความจุน้อยกว่า วิ่งได้ไม่ไกล จึ้งต้องใช้เครื่องยนต์ช่วยในการทำงานเป็นหลัก
“ระบบการทำงานของรถไฮบริดจะแตกต่างกันไป แล้วแต่แบรนด์ แล้วแต่รุ่น เพราะฉะนั้นต้องดูสเป็กให้ดีว่า รถไฮบริดที่สนใจนั้นมีระบบการทำงานอย่างไร”
ถ้าถามว่า รถ EV แตกต่างตรงไหน อธิบายง่ายๆ ก็คือ รถ EV ‘ไม่มีเครื่องยนต์’ พึ่งแต่การ ‘ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว’
“อีกคำถามสำคัญว่า ‘ใครประหยัดกว่ากัน?’ เมื่อเทียบกันแล้ว รถไฟฟ้าที่เลือกชาร์จเรทค่าไฟบ้าน หรือยิ่งเป็นแบบ TOU ชาร์จไฟตามช่วงเวลา ค่าไฟจะยิ่งถูก รถไฟฟ้าจะมอบความประหยัดให้จนคุณต้องขนลุกเลย”
เมื่อเมื่อเทียบกับรถไฮบริดที่ช่วยคุณประหยัดค่าน้ำมันลงมานิดหน่อย 10%-40% แต่ข้อสังเกตหลายๆ อย่างอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย ข้อสังเกตของรถ Hybrid ที่บางคนอาจมองข้ามไปคือ ราคารถแพงกว่ารถน้ำมันบ้าง ค่าแบตฯ แพงบ้าง ค่าซ่อมแพงบ้าง ซึ่งไม่ต่างกับรถไฟฟ้าที่จะต้องเผชิญกับปัญหานี้ แต่หนึ่งสิ่งที่ผู้เขียนอยากให้คุณมองคือเรื่อง ‘การบำรุงรักษาคูณ 2’
“รถไฮบริดต้องการการดูแลรักษาเป็นสองเท่า เพราะรถไฮบริดมีทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยในการทำงาน ซึ่งคุณจะดูแลแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้แน่ๆ ต้องดูแลทั้งสองส่วนผสานกัน”
นี่ยังไม่นับรวมกรณีถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งมีปัญหาแล้วทำให้รถใช้งานไม่ได้อีกนะ ยกตัวอย่างอาการที่เคยเจอ รถแบรนด์หรูจากยุโรปรุ่นหนึ่ง ระบบมอเตอร์ไฟฟ้ามีปัญหาแต่เครื่องยนต์ไม่เป็นอะไร รถก็วิ่งไม่ได้ต้องขึ้นยานแม่อย่างเดียว เป็นต้น ถ้าเป็นไฮบริดแบรนด์ใหญ่อย่าง Toyota ที่พิสูจน์ความทนทาน เหนียวแน่นหนึบของระบบมาแล้วหลายๆ รุ่น น่าจะพอตัดสินใจซื้อได้ แต่ถ้าเป็นแบรนด์ใหม่ๆ หรือแบรนด์เดิมๆ ที่ออกไฮบริดมาไม่กี่รุ่น คุณจะมั่นใจได้มากแค่ไหนว่า การใช้งานจะไม่ต้องลุ้นหนัก
Check-List ว่าจะเลือกทางไหนดี EV หรือ Hybrid? เช็กจุดเด่นทุกมิติในการใช้งาน ฝั่งไหนจะเข้าวิน มาลองตัดสินก่อนซื้อรถใหม่
- การใช้งานปกติทั่วไป
- ‘รถไฮบริด’ ชนะ เพราะสามารถวิ่งได้ทั้งใกล้ และไกล ไร้กังวลเรื่องจุดชาร์จ ไม่ต้องเสียเวลาในการชาร์จนานๆ เติมน้ำมัน 3 นาทีวิ่งต่อได้เลย ไม่แตกต่างจากการใช้รถสันดาปปกติ
- เทรนด์ และเทคโนโลยีในตัวรถ
- ข้อนี้ ‘รถ EV’ ชนะ เพราะระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ มอบสัมผัสที่แตกต่างจากรถน้ำมันอย่างสิ้นเชิง พร้อมกับเทคโนโลยีการขับขี่มากมายที่จะช่วยให้ขับสบาย และปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม
- ที่พักอาศัย
- ‘รถไฮบริด’ ชนะ เพราะไม่ว่าจะจอดที่บ้าน หรือคอนโดก็ไม่มีผลกระทบใดๆ แต่ถ้าเป็นรถ EV ที่มีข้อจำกัดอยู่ว่า ถ้าอยากชาร์จไฟถูก ก็ควรชาร์จไฟบ้านจึงจะประหยัดกว่า ถ้าต้องคอยชาร์จตามจุดชาร์จไวตลอดเวลา อาจไม่คุ้มค่าความเป็นรถไฟฟ้าเท่าที่ควร ส่วนคนที่อยู่คอนโดก็คงจะไม่มีจุดให้จอดชาร์จทิ้งไว้ได้ทั้งคืนแน่ๆ จะเลือกซื้อแบบไหนอย่าลืมข้อนี้เป็นหลักพิจารณาด้วย
- ความประหยัด
- ‘รถ EV’ แซงเข้าเส้นชัยไปในหัวข้อนี้ วลีที่ว่า ‘ซื้อก่อนก็ประหยัดก่อน’ นั้นไม่เกินจริง เพราะมีผู้ใช้บางคนทดลองขับแล้วคำนวณออกมาได้ว่า ค่าใช้จ่ายอยู่ที่กิโลเมตรละ 0.5 บาท ก็มีให้เห็นมาแล้ว หากขับทางไกล (ในเมืองรถติดอาจจะแพงกว่า) เพราะฉะนั้นหากใครที่มองหาคำตอบของคำว่า ประหยัดในการใช้งานรถสักคัน รถ EV นี่แหละคือคำตอบสุดท้าย
สุดท้ายแล้วจะเลือกแบบไหนก็ล้วนดีทั้งนั้น เพราะรถทั้งสองประเภทนี้ คือคำตอบของนิยามคำว่า ‘นวัตกรรม’ เรียงลำดับขั้นการพัฒนาสู่ความเปลี่ยนแปลงแบบสุดซอย จากเครื่องยนต์ขับเคลื่อนกึ่งเครื่องยนต์กึ่งมอเตอร์ สู่พลังขับขี่ที่มีแค่มอเตอร์กับแบตเตอรี่เป็นองค์ประกอบสำคัญให้รถวิ่งไป
เราไม่อาจรู้ใจ หรือให้คำตอบสุดท้ายที่ดีที่สุดสำหรับคุณ เมื่อบริบทการใช้งานรถของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน อยู่ที่ว่ารับได้แค่ไหนกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าคุณจะเลือกไปทางไหน รถไฮบริด หรือรถ EV มันก็คือ ทางที่จะทำคุณจะประหยัดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเดินทางกว่าแต่ก่อน รวมไปถึง ‘มลพิษ’ ที่ออกมาน้อยกว่าเดิมด้วย
Share