Life

Healer - Tarot Reader - Moon Lover บำบัด ฟื้นฟู จิตวิญญาณ กับศาสตร์ผสมผสานแบบฉบับ 'Kiss My Soul'

ดวงจันทร์ส่องแสงบนท้องฟ้ายามค่ำคืน เคลื่อนผ่านวัฏจักรของข้างขึ้น และข้างแรมอย่างไม่มีวันสิ้นสุด การเดินทางทางจิตวิญญาณ และการตื่นรู้ของเราก็เช่นกัน เพราะในความมืดนั้น ยังมีแสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องนำทาง เพียงแค่เรามีสมาธิ จดจ่อ และไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง จะทำให้เราหวนคิดคำนึง และคงไว้ซึ่งการดำรงและคงอยู่ของชีวิตได้เป็นอย่างดี เหมือนกับที่ นภสร ศิรินรรัตน์ หรือคุณเหวิน ผู้ริเริ่ม และสร้างสรรค์อาณาจักร Kiss My Soul นี้ขึ้นมา ด้วยวัย 25 ปี ที่อยากบำบัด และฟื้นฟูจิตวิญญาณผ่านดวงจันทร์ และศาสตร์ต่างๆ ที่ได้ทดลองกับตนเอง และอยากแบ่งปันความสว่างไสว ส่งต่อพลังงานดีๆ ให้กับคนรอบๆ ข้างและคนที่ตนเองรัก

เริ่มจาก 'โยคะ' ศาสตร์จักระบำบัดที่ดีต่อใจและกาย

จุดเริ่มต้น และแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิด Kiss My Soul ของคุณเหวินคือ ความชอบ และความสนใจที่มีเป็นทุนเดิม และเริ่มเรียนโยคะตอนอายุ 15 ปี เพื่อเสริมทักษะการเป็นนักกีฬาไอซ์สเก็ตของเขา เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้กับร่างกาย แต่ 'โยคะ' กลับทำให้เขาได้มากกว่าการออกกำลังกาย เพราะได้สมาธิที่ดี โดยเธอได้มีโอกาสเรียนกับครูอินเดียแถวเอกมัย ทำให้เกิด Spiritual Passion ทำให้เด็กอายุ 15 ปีในวันนั้น ฝันอยากเป็นคุณครูสอนโยคะ

“ตอนนั้นโยคะเพิ่งเข้ามาในไทยได้ไม่นาน และคนเอามาสอนในไทยเพื่อออกกำลังกาย และได้เรียนกับคุณครูคนไทยด้วย เขาสอนลึกมาก ทั้งเรื่องการหายใจ การกลั้นหายใจ ซึ่งตอนนั้นเรายังเด็กแต่เรากลับโฟกัสตรงนั้นได้ดีมากขึ้น ทำให้หลายๆ อย่างตอนวัยรุ่นที่รู้สึกเครียดมันเบาลงไปเอง ซึ่งเป็นความเครียดที่ผู้ใหญ่อาจไม่เข้าใจ ความเครียดอาจไม่หายไปทั้งหมด แต่เราสามารถจัดการกับมันได้ดีมากขึ้น รู้สึกปลอดภัย ทำให้เริ่มคิดตั้งแต่ตอนนั้นว่าอยากทำ Space ของตัวเองในอนาคต ระหว่างนั้นก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ไม่ได้เล่นโยคะบ่อย และยังออกกำลังกายอื่นๆ อยู่ ยังชอบเรื่องสุขภาพ ชอบอาหารคลีน ถึงแม้จะไปเล่นเวทบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในวงการนี้ เรารู้สึกสนุกที่ได้ชวนเพื่อนไปทำอะไรแบบนี้แล้วเขาสนุกไปกับเรา ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป พาไปออกกำลังกาย เล่นโยคะ กินผัก และถึงแม้เพื่อนจะมองว่าเราแก่เกินวัย แต่เขากลับมาขอบคุณเราทีหลัง ขอบคุณที่ทำให้เขาไม่ต้องไปนอนโรงพยาบาล"

ก่อเกิด และกำเนิด Kiss My Soul

"Kiss My Soul เกิดมาจากช่วงโควิด ช่วงล็อกดาวน์พอดี เพราะเหวินทำแบรนด์มาก่อน พอไม่ได้ไปไหนมาไหนก็ไปลงคอร์สเรียน New Traditional Therapies เรียนออนไลน์เพราะไปไหนไม่ได้ และ Kiss My Soul เริ่มจากการดูดวงก่อน แต่ก่อนชื่อเดิมคือ Kiss My Soul Tarot ซึ่งตอนนี้ทำหลายอย่าง เลยอยากให้เป็น Kiss My Soul Journey เพราะเราอยากแชร์ข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับ Self Care ของตัวเอง

พอเริ่มดูไพ่ ทำให้เข้าใจลูกค้าว่า ทุกคนมีความเครียดนะ ลูกค้าที่มาดูดวงมีตั้งแต่อายุ 15 จนถึงวัยทำงาน 30 กว่าๆ และก็มีวัย 55 ปีที่ถามเรื่องการเกษียณอายุของตัวเอง เราให้ Self Love เขา แต่เราไม่ได้ให้ Self Care เขา ซึ่งเขาก็อยากได้วิธีการที่เราคัดมาหรือฟันธงให้เขาแล้ว เราเชื่อว่าทุกคนมีอิสระที่จะเลือกทางของตัวเอง ถ้าเขากลับมาดูแลตัวเองได้ มีจิตใจที่ดี เขาจะสามารถกลับมาเลือกทางของเขาเอง เพราะทุกคนมีคำตอบอยู่ในหัวอยู่แล้ว เหวินเลยเชื่อมั่น Empowerment มากกว่า ซึ่งตอนนั้นคือช่วงอิ่มตัวของการทำงานองค์กรของเรา เพราะเราอยากแค่เข้าไปเอาประสบการณ์เลยทำประมาณ 2 ปีครึ่ง"

“ตอนนั้นเพื่อนไปเรียนโยคะที่ Orion Healing Center เราเห็นเขากลับมาเลยนัดเจอกัน ก็พบว่าแววตาเขาเปลี่ยนไปเหมือนมันสงบขึ้น เขาไม่ได้ Convince อะไร แต่แค่เล่าประสบการณ์ว่าเป็นอย่างไรที่พะงัน เลยคุยกับแฟนว่าจะลาออกจากงาน เลยไปทำ Reiki (การบำบัดทางศาสตร์พลังงาน) เรารู้สึกว่านี่ล่ะคือคำตอบที่ใช่ว่าต้องลาออกจากงานเพื่อไปเรียนเป็นครูสอนโยคะ”

ครีเอทเวิร์กช็อปด้วยศาสตร์แบบผสมผสานที่หลากหลาย

"เหวินชอบเรียนหลายๆ อย่าง ทั้งศาสตร์ไพ่, โยคะ, Reiki และ Sound Healing มาผสมกับสิ่งที่เราชอบ เราเลยเป็นลูกผสมของทุกๆ อย่าง ซึ่งเป็นความชอบของตัวเอง Astrology เหวินคือ Aquarius เป็นคนที่ชอบนวัตกรรมใหม่ๆ เราชอบมิกซ์ ลองมิกซ์ซาวด์กับศิลปะ ก็เป็นอีก 1 เวิร์กช็อป หรือ Sound Healing กับดอกไม้ พยายามกำหนดธีมขึ้นมา ซึ่งเราใช้ศาสตร์ Astrology ในการสร้างธีมเพื่อให้เขา ครั้งที่แล้วเป็น Full Moon in Aquarius เราก็จะดูว่าธาตุลมเขามีนิสัยเป็นอย่างไร Healing กับคนธาตุลมอย่างไร ที่ช่วยให้เขากลับมาอยู่กับตัวเองได้ดียิ่งขึ้น เราเป็นคนที่สนุกในการครีเอทีฟกระบวนการเหล่านี้ อีกอันคือ เราเป็นคนชอบ Collabs เพราะมันทำให้ Customer เขามี Value เยอะมากกว่า ไป Collabs กับสปาบ้าง Exercise อีกแบบที่ไม่เหมือนเรา เพราะยิ่งเราสร้างคอมมูนิตี้ที่ใหญ่ขึ้น Collaboration กับ Healer อื่นๆ ที่มี Vision ตรงกันยิ่งทำให้ลูกค้าเจอประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น"

“พาร์ทดูดวงเราทำเป็นงานอดิเรก รวมดูดวงก็เปิดมา 2 ปีครึ่ง แต่ถ้าทำส่วน Kiss My Soul แบบภาพรวมปัจจุบันคือ เพิ่งกลับมาทำเมื่อตุลาคมปีที่ผ่านมา ทำแค่ 10 เดือน แต่มันโตเร็วมาก เราเลยสงสัยว่าคนต้องการขนาดนี้เลยเหรอ"

"เหวินเชื่อว่าบางคนไม่จำเป็นต้อง Healing ที่มันลึกมากๆ เขาแค่ต้องเปิดใจและเข้าใจตัวเองก่อน เพราะฉะนั้น ทุกเวิร์กช็อปที่เหวินทำเหมือนเป็น Chapter 1 ให้หลายๆ คนมาลอง เหมือนลูกค้ามาฟีดแบ็กเหวินว่า สมาธิแต่ก่อนคิดว่ามีแค่ศาสนา แต่เราทำให้มันสวยงามมากขึ้นโดยใช้เทคนิค Virtualization คือ ให้เขานึกภาพตามคำพูดของเรา เพื่อให้เขาเข้าถึงจิตใต้สำนึกของเขาได้ดียิ่งขึ้น ได้ยินเสียงข้างในจิตใจเขาได้ดีมากขึ้น เขาจะเซอร์ไพรส์กับสิ่งนี้มากๆ หรือการทำสมาธิให้เขาเห็น รวมไปถึงการตกแต่งเพื่อสร้างความสวยงาม ใส่ดอกไม้หรือกิมมิกต่างๆ เข้าไป มันทำให้คนที่ไม่รู้ด้านนี้เลยเปิดใจได้ และเรามีหลายศาสตร์ใน 1 เวิร์กช็อป ที่ทำให้เขาสามารถเลือกได้ว่าสุดท้ายแล้วเขาชอบแบบไหนมากกว่ากัน ซึ่งทุกอันก็จะกลับมายัง 'Chapter 1 of your healing journey.' เพราะอย่างน้อยคุณได้เปิดใจแล้วว่า ฉันจะกลับมารักตัวเองมากขึ้นอย่างไรได้บ้าง"

“Chapter 1 of your healing journey. Our vision is to build a safe, supportive space for clients to connect deeply with their emotions through our thoughtfully designed classes and workshops”

ผู้ที่เข้ามาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไหน?

"ส่วนใหญ่จะเป็นวัยทำงาน เพราะเราเคยอยู่ Corporate มา ซึ่งมีความเครียดที่สะสมได้ง่าย แต่เป็นอะไรที่แปลกเหมือนกัน เพราะเราเจอเด็กอายุ 15 ปีมาประมาณหนึ่งเลย มาเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะ Journey เราเริ่มตั้งแต่อายุ 15 ปี มันอาจจะดึงดูดกัน เพราะเหวินมีน้องชายที่อายุน้อยกว่าประมาณ 10 ปี เราให้คำปรึกษาเขาได้ ซึ่งเขาก็บอกว่าดีมากเลย เพราะเขาบอกว่า ถึงเขาเป็นเด็กเขาก็มีปัญหาที่เก็บๆ ไว้ สุดท้ายมันเยอะ ทำให้สุขภาพจิตไม่ดี เหวินเลยทำ Reiki ให้น้องชาย น้องๆ อายุเท่านั้นเขาอาจรู้ว่าเราฮีลเขาได้ในระดับหนึ่ง เขาเลยดึงๆ กันมา อีกอันที่แฮปปี้และเซอร์ไพรส์มากคือ ผู้ชายเริ่มเข้ามาเยอะมากขึ้น คือผู้ชายบางคนเขาเครียดแบบไม่สามารถพูดกับใครได้ พอเขาได้มาเวิร์กช็อปทำให้เขารีแลกซ์ หลับลึกขึ้น รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ดีที่ผู้ชายมาแนวนี้มากขึ้น"

ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาใช้บริการ จะมีปัญหาเกี่ยวกับอะไร

"ปัญหาเรื่องนอนไม่หลับค่ะ ซึ่งมันดูเหมือนเรื่องเล็กมากแต่ใหญ่นะ เพราะเราทำให้เราเครียดสะสมได้ หงุดหงิดได้ง่าย เพราะคนนอนไม่พอ ซึ่ง Sound Healing ช่วยได้ อีกอันคือเรื่องความเครียด หลายคนมีเรื่องเก็บไว้เยอะ ซึ่งเหวินจะมีเซกชั่นหนึ่งคือ Sharing Circle ที่ให้คนข้างๆ แชร์กันประมาณ 3 นาที แล้วเราแค่ให้เขาเล่า และอีกคนฟัง ซึ่งเป็นเซกชั่นที่คนชอบมากๆ เพราะเหมือนได้ระบายความในใจออกมา เพราะเขาได้พูดโดยไม่มี Judgement อะไร เพราะการที่เราคุยกับคนที่ไม่รู้จัก เราจะสามารถคุยกับเขาได้อย่างเต็มที่ เพราะสุดท้ายเขาจะไม่เอาสิ่งนี้ไปเล่าให้ใครฟัง เราก็แค่มีหน้าที่ทำให้พื้นที่ตรงนี้ปลอดภัย"

เน้นเลือกสถานที่ทำกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกดีและให้พลังงานดีๆ

เราค่อนข้าง Sensitive ต่อพลังงานนิดหนึ่ง เวลาไปที่ไหนเราจะรู้ว่า Energy ดีหรือไม่ดี อย่างที่บอกว่าเหวินเป็นคนชอบต้นไม้ เพราะทำให้คนรู้สึกประคองอารมณ์ให้สงบมากยิ่งขึ้น เลยอยากเลือกพื้นที่ให้มีต้นไม้หรือสวนเล็กๆ พอเวลาลูกค้าเดินเข้ามาจะได้ทำให้รู้สึกสงบขึ้นเพราะเราเองก็รู้สึกเวลาได้ทำกิจกรรมในที่ๆ ใกล้ต้นไม้ อย่างที่สองคือต้องมีความโปร่ง สามารถคอนโทรลแสงได้ ถ้าเวิร์กช็อปกลางคืนจะเปิดฉายดาว ฉายพระจันทร์ อีกอันที่สำคัญคือ ต้องเงียบพอสมควร เพราะเคยไปในที่ๆ มีเสียงรถเข้ามาแล้วลูกค้านอนฟัง Sound แล้วมันจะหงุดหงิด เหมือนสมาธิมันหลุด อันสุดท้ายอาจส่วนตัวและลูกค้าก็ต้องการคือ ที่จอดรถ เพื่อให้ลูกค้าสะดวกที่สุดในการมา"

ที่มาที่ไปของ 'Kiss My Soul' โลโก้ และความข้องเกี่ยวของพระจันทร์

"ออกแบบเองและบรีฟให้ครีเอทีฟทำออกมาให้สวยงามนิดหนึ่ง Font การจัดเรียงเราออกแบบเองค่ะ ตัวพระจันทร์มีความหมาย 2 อย่างคือ Feminine Energy เหวินมองว่าโลกของเราอยู่ใน Masculine Energy เยอะแล้วคือการทำ แต่ Feminine Energy จะช้าลง หยุด และดึงดูดให้ทุกอย่างเข้ามาที่ Energy ของเราเอง ซึ่งการได้กลับมาตรงนี้จะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในการได้กลับมาอยู่กับตัวเองเลยเลือกพระจันทร์และเราก็ชอบด้วย

พระจันทร์อีกความหมายหนึ่งคือ Phase ของชีวิต มันหมุนไปเรื่อยๆ เพราะคนเราถึงแม้จะอยู่ใน Phase ที่มืดๆ ไม่ค่อยเคลียร์ แต่สุดท้ายวันหนึ่งเราจะไปใน Phase ที่พระจันทร์เต็มดวงอีกครั้ง ให้พระจันทร์ Remind ว่าเราเป็นวงกลมดวงหนึ่งอยู่แล้ว มันแค่ Journey ของเราที่ทำให้กลับไปเต็มดวงอีกครั้งหนึ่ง มีดอกไม้ซึ่งเป็นดอกของ Aquaris เป็นสัญลักษณ์ของเดือนเกิดเราด้วย เป็นสัญลักษณ์ของ Community ด้วย เราอยากบิลด์ให้ใหญ่ขึ้นๆ"

"พระจันทร์ เป็น Feminine Energy ที่เราอยากจะพาเขาไป Kiss My Soul มันต่อด้วย Journey บางทีมันอาจมี Phase ที่มองไม่เห็นทาง หรือเพิ่งเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เราควรเรียนรู้ที่จะโอเคกับทุกๆ Phase ของชีวิตและหาความสนุกเล็กๆ หรือความสุขเล็กๆ ในทุกๆ Phase ให้ได้ เลยใช้พระจันทร์ส่วนใหญ่”

กิจกรรม และเวิร์กช็อปที่น่าสนใจของ Kiss My Soul

"ตอนนี้เน้น Workshop อยู่ มี Private Healing อีกอย่าง และออกอีเวนต์บ้าง ตัวเวิร์กช็อปจะผสมผสานทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทั้งโยคะ Sound Healing ไพ่ยิปซีบำบัด และ Crystal Healing มาด้วย เป็นการ Collabs กับร้าน Crystal ของเหวินเอง เพราะรู้สึกว่า อะไรที่เราใช้เองและมันเวิร์ก เราจะค่อยๆ ดึงเข้ามาในเวิร์กช็อปมากยิ่งขึ้น ตอนนี้เวิร์กช็อปจะจัดประมาณ 3-5 เวิร์กช็อปต่อเดือน เพราะตัวเองยังทำทุกอย่างด้วยตัวเองคนเดียวอยู่ ตัวเวิร์กช็อปจะมีที่ยืนพื้นเลยคือ พระจันทร์เต็มดวง กับ ‘New Moon’ ลูกค้าเก่า และใหม่สนใจมากที่สุด เพราะพระจันทร์มีผลกับอารมณ์ของเรา เอฟเฟกต์น้ำขึ้นน้ำลง ข้างขึ้นข้างแรม เขาเลยเอฟเฟกต์น้ำในร่างกายเราเยอะมาก น้ำเป็นจุดของ emotion ในร่างกาย ถ้าน้ำเปลี่ยน emotional เราก็จะสวิง เริ่มจาก Full Moon เหมือนพระจันทร์เต็มดวง หรือเราในเวอร์ชั่นที่น้ำเต็มแก้วแล้ว เป็นช่วงที่เราเปิดว่าเราเจออะไรมาบ้างใน Journey ที่แล้ว แล้วอะไรที่เราอยากเริ่มต้นใหม่ ตอนแรกเริ่มทำจากโยคะก่อน พอไปเรียน Sound Healing, Full Moon Yoga and Sound ตอนนี้มี Crystal มี Self Care ให้กลับไปทำที่บ้านด้วย Meditate คริสตัลพระจันทร์ในราศีนั้นๆ กับ และให้เขาเอากลับไปใช้เองที่บ้าน ทุกครั้งที่คนมา เขาจะดึงดูดกับ Energy พระจันทร์นั้นๆ

อย่างพระจันทร์ในราศีธาตุไฟ เขาอาจต้องการแพชชั่นใหม่ๆ ในชีวิต ส่วนธาตุลมคือ คนที่กำลังจะออกจากงาน หรืออยากเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ถ้าเป็นธาตุน้ำเขาจะมี Deep Emotional ที่เขาต้องเคลียร์ และธาตุดินเขาจะเป็นความสนุกสนาน หรือการมาเติมเต็มความฝัน เขาจะเลือกมาในเวิร์กช็อปและพระจันทร์ที่เขาดึงดูด และเขาจะทำงานกับคริสตัลที่เหวินเลือกมาได้ดี และเราจะสร้างคำถามเพื่อให้เขาหาคำตอบมานั่งให้ตัวเองฟัง ว่าตอนนี้เขาอยู่ในสเตจไหนของชีวิต หรืออยากไปไหนต่อ พอจบคลาสไปเขาจะบอกว่า เข้าใจตัวเองได้ดีมากขึ้น

เวิร์กช็อปแนว Empowering คือ การสอนให้เขาไปใช้ต่อที่บ้าน โดยเริ่มจากไพ่เพราะสอนอ่านไพ่เยอะ เพราะฉะนั้น การอ่านไพ่ให้ตัวเองได้ จะช่วยไกด์ให้ตัวเอง เขาจะเริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และใช้เครื่องมือต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ได้ไกด์ไลน์ตัวเองในทุกๆ วัน ในมุมใหม่ๆ ผ่านไพ่ นอกจากนี้ยังมี Art and Sound แนวฟีลกู๊ดที่เขาอยากมาผ่อนคลาย ที่เหลือเป็นการ Collabs กับคนอื่น กับลูกค้า หรือองค์กรต่างๆ ที่เขาต้องการ เช่น การทำ Burn-out ซึ่งค่อนข้างดีเพราะทำให้คนเหล่านี้เข้าใจว่าเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทำให้เขาสนิทไปโดยปริยาย อาจเริ่มด้วยโยคะ หรืออ่านไพ่บ้าง และมีกับสปาที่มีการนวดและ Sound Healing ทำอะไรที่ผ่อนคลายให้เขา"

“เขาอยู่กับตัวเองได้ดีมากขึ้น เขาเบาลงทั้งกายและใจ เหมือนเขาได้ยินเสียงตัวเองชัดขึ้น ไม่ว่าจะการทำสมาธิ หรือ Sound healing จุดเริ่มต้นของสิ่งเหล่านี้คือการทำให้กลับมารักตัวเอง ทุกคนมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว แต่ไม่ได้มีเวลาหรือสมาธิมากพอที่จะได้ยินมันหรือเชื่อมันจริงๆ”

ทำไมจึงสนใจศาสตร์ต่างๆ และสิ่งเหล่านี้?

"ชอบและรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของ Journey เราตั้งนานแล้ว มันเคยฮีลเรามาก่อน ไม่ว่าการเป็นแรงบันดาลใจให้เราไปใช้ชีวิตที่ดีขึ้น หรือทำให้เรารู้ว่าความเครียดแค่นี้เอง ซึ่งเราโชคดีมากที่ได้รู้ตั้งแต่อายุ 15 ปี และตอนที่ไปต่างประเทศทำให้เราลองหลายอย่าง เหวินไปเรียน Theater เรียน Psychology มา ในไฮสคูลสามารถเลือกสายได้เยอะ ตอนเลือก Theater ได้ไปแสดง และ Psychology ก็เป็นอะไรที่เราชอบมาก คิดว่าจะเป็น Psychologist แต่ไม่ได้คิดขนาดนั้น รู้สึกชอบด้านนี้ เพราะเรียนแล้วสนุก แต่สุดท้ายตอนมหาลัยก็เลือก Business เพราะเรามองตัวเองเป็น Business Owner ด้วย ในอนาคตอยากมีทีมที่มี Vision เดียวกัน ที่สามารถสร้างอิมแพคที่ใหญ่ขึ้นได้ อาจไม่ได้เป็นแค่ Healer เดี่ยวคนเดียว"

ฟื้นฟู หรือเพิ่มพลังให้ตัวเองอย่างไร หลังจากที่ทำเพื่อคนอื่นๆ?

"เวิร์กช็อปจะใช้จักระข้างบนเยอะ ต้องตี Sound และแยกเสียง หรือต้องตีเพิ่ม อะไรที่มัน Physical Body เราต้องไปออกกำลังกาย หรือไปเดินในธรรมชาติ ให้เรารู้สึกนิ่งขึ้น บางทีเราก็ไปฮีลกับคนอื่น เพราะมันคือ Giving and Receiving เพราะไม่งั้นชีวิตจะไม่บาลานซ์ การฝึกหายใจทางปากเพื่อให้ออกซิเจนทำงานเต็มที่ เพราะคนเราหายใจแค่ 20% หรือ 50% แต่นี่คือตั้งใจให้เข้า 100 ออก 100 มันคือการปลดปล่อยอารมณ์ออกมา Sound Healing ก็ชอบฟังของคนอื่น อันสุดท้ายที่ Healer หลายคนควรทำคือ การนั่งสมาธิ เพราะมันช่วยเคลียร์พลังงานของตัวเองได้ บางทีก็ทำ Reki ให้ตัวเอง เพื่อให้เรารู้สึกเบาขึ้นด้วย"

มีวิธีละลายพฤติกรรม หรือสร้างความคุ้นเคยและความเป็นกันเองกับผู้ที่เข้ามาใช้บริการอย่างไร?

"เริ่มจากการแนะนำตัวเองว่าเวิร์กช็อปเรามีอะไร มีกระบวนการอะไรบ้าง เราคิดอะไรมา และให้เขาแนะนำตัวทีละคนสั้นๆ ว่าเขามาทำอะไร ต้องหารอะไร สุดท้ายแล้วพอเราใช้พลังงานร่วมกัน อยู่ในห้องเดียวกัน เหมือนพอเราหันหน้าเข้าหากัน มันเป็นไฟล์บังคับว่าเราต้องคุยกัน มันจะเป็นอะไรที่แปลกมาก เพราะคนที่นั่งข้างๆ กัน พลังงานจะคล้ายๆ กัน เขาจะเล่าเรื่องคล้ายๆ กัน ทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้เดินคนเดียว สุดท้ายเขาก็จะสนิทกันเอง"

ศาสตร์การดูแลสุขภาพองค์รวม (Holistic Health) แตกต่างจากการดูแลสุขภาพแบบทั่วไปอย่างไร?

"แต่ก่อนคนเรามองร่างกายกับอารมณ์แยกกัน อาจต้องโฟกัสที่ร่างกายก่อนซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด เพราะร่างกายเปรียบเหมือนบ้านของจิตวิญญาณเรา แต่ Holistic Health กาย ใจ และจิตวิญญาณมันเชื่อมโยงกัน ถ้าช่วงไหนอารมณ์ไม่ดีมันจะไปลงที่ร่างกาย เช่น เครียดลงกระเพาะ ถ้าดูตามพลังงานจักระคือเส้นพลังงานของร่างกายจะอยู่ตรงกระดูกสันหลังเลย และเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในชีวิต ท้องจะสะสมพลังงานความโกรธ ความเครียดค่อนข้างมาก ถ้าเราไม่เชื่อว่าเรามีความมั่นใจ เราก็จะไม่อยากทำอะไร

รองลงมาคือ อก ความเครียดที่อยู่ตรงอกพอสะสมไปนานๆ พวกโรคหัวใจมันจะมา บางทีคนเราสะสมอารมณ์เก่าๆ ไว้เยอะ เพราะเขาเคยโกรธแต่ยังไม่เคยให้อภัยตัวเอง สุดท้ายมันก็ยังอยู่ตรงนั้น บางคนต้องแก้ด้วยการทำสมาธิแบบลึก มันถึงจะจำได้ว่าความโกรธตรงนี้ยังอยู่นะ แล้วค่อยดึงออกมาเพื่อให้เราให้อภัยจุดนั้นอีกครั้ง ซึ่งเหวินทำกับตัวเองด้วย พอเราไปเรียนโยคะ เรารู้ว่าสิ่งนี้คืออดีตที่เรายังโกรธอยู่ แล้วพอปล่อยไปเหมือนตัวเราจะเบาลง โล่งขึ้น ทำให้อะไรบางอย่างในชีวิตเปลี่ยนไปเลย และยังทำให้ลูกค้าเหวินหลายๆ คนได้ปลดล็อกอะไรบางอย่าง ระบบของอารมณ์ก็จะดีขึ้น ไม่เจ็บป่วยบ่อย เมื่อกาย ใจ จิตวิญญาณดี ทำให้ทางมันเคลียร์ขึ้น"

การดูแลสุขภาพองค์รวม (Holistic Health) ของบ้านเรา ต่างจากต่างประเทศมากไหม

"ตอนนี้กำลังตามกันอยู่ค่ะ ต่างประเทศเขาฮิตมาสักพักหนึ่งแล้ว จริงๆ มันเริ่มจากจิตวิทยาก่อน ต่างประเทศเขายอมรับเรื่องการไปหาหมอจิตแพทย์มาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว คนไทยเพิ่งมายอมรับไม่เกิน 5 ปี ของเรายังเรียก Alternative Healing ยังรองลงมาจากแพทย์อยู่ ซึ่งดีนะคะควบคู่กันไป ไปทางวิทยาศาสตร์ด้วย มาทางนี้ด้วย แต่เหวินว่าควรไปควบคู่กัน เพราะการกินยาคือ การแก้ไขที่ปลายเหตุ ของ Healing หลายๆ ฝ่ายเขาไปลึกที่ต้นเหตุจริงๆ ซึ่งอาจเป็นอะไรที่เล็กมาก ถ้าเราเจอมันตั้งแต่ต้นเหตุเราจะค่อยๆ ให้อภัยมันได้และปล่อยวางมันได้ สุดท้ายมันจะกลับมาที่ความปกติอีกครั้ง"

คุณเชื่อเรื่อง ‘กฎของแรงดึงดูด’ มากน้อยแค่ไหน

"เชื่อเลย เพราะจริงๆ เราใช้อยู่แล้วทุกวันโดยที่ไม่รู้ตัว พวกเป้าหมายของตัวเอง ก็คือ กฎของแรงดึงดูดอย่างหนึ่ง จริงๆ คนเราไม่ได้ดึงดูดในสิ่งที่เราอยากได้ แต่เราดึงดูดในสิ่งที่เราเป็นอยู่ มันคือกึ่งจิตวิทยาและพลังงาน มันไม่ได้แยกออกจากกันชัดเจน เหวินมีคอร์สสอนเรื่องนี้เหมือนกัน ซึ่งลูกค้าฟีดแบ็กมาว่าได้สิ่งที่เขาอยากได้ คนเรามัวแต่คิดสิ่งที่อาจจะทำให้ไม่ดีกับตัวเรา การคิดอนาคตในทิศทางบวก ถ้าเราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เราก็สามารถดึงดูดได้จริงๆ มันอาจยากตรงการรู้สึกมากกว่า เพราะจะไปถึงเรื่องกฎของแรงดึงดูดต้องรู้สึกได้ก่อนว่าเรามีอันนั้นจริงๆ นะ ความรู้สึกเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร เราต้องจินตนาการออกมาให้ได้ สมมุติเหวินอยากมีบ้าน ต้องให้ความรู้สึกอบอุ่นก่อนจึงจะมีสิ่งนั้น เพราะคีย์หลักๆ คือ การที่เราได้รับมันมาแล้ว แต่อยากขอบคุณอะไร เพราะการขอบคุณคือ Energy Gratitude มี Frequency ที่สูงมากๆ ซึ่งต้องฝึก เหมือนเราฝึกกล้ามเนื้อหรือการออกกำลังกาย"

“คนเรากว่าจะคิดบวกได้มันต้องเทรนด์สมองระดับหนึ่ง โดยการฝึกพูดบวกกับตัวเองทุกๆ วัน หรือการชมตัวเองในเรื่องเล็กๆ เพราะ Happiness คือ The more you see it ยิ่งเราเห็น เราจะยิ่งเห็นมากขึ้น เหวินจะให้ Exercise ลูกค้าเล็กๆ ไป แค่การดื่มกาแฟแก้วหนึ่งแล้วอร่อยก็เป็น Happiness ได้แล้ว”

สาเหตุหลักที่ทำให้เราไม่มีสมาธิ ฟุ้งซ่าน จนก่อให้เกิดความสับสน วุ่นวาย ความไม่สงบในจิตใจ คิดว่าเกิดจากอะไร และส่งผลกระทบอะไรกับเราบ้าง

"หลักๆ น่าจะมาจาก Social Media เพราะคนเรารอไม่ได้มานานแล้ว เหวินสังเกตได้จากน้องที่อายุน้อยกว่า 10 ปี เป็นหนักกว่า บอกให้วางโทรศัพท์แทบจะกรี๊ด แค่เลื่อนหรือไถฟีดไม่กี่อัน แต่ก็ทำให้เราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันแล้ว จริงๆ มนุษย์เราก็ไปอยู่ในอดีตและอนาคตมานานแล้ว แต่ Social Media ยิ่งทำให้เราไปอยู่ในโลกอนาคตมากยิ่งขึ้น ถามว่า เหวินติดไหม มันก็มีช่วงที่ติดเหมือนกันแล้วมันก็ทำให้เราเครียด แต่พอเราดีท็อกซ์ได้บ้าง การที่นั่งเฉยๆ แล้ว Aware ทุกส่วนของร่างกาย เป็นเรื่องที่คนไม่คิดว่า Powerfull แต่พอได้ทำในเวิร์กช็อปเขาจะค้นพบว่ามันเปลี่ยนไปเลย เพราะจะไม่ค่อยให้เล่นโทรศัพท์"

พลังงานดีๆ พลังงานบวก เราสามารถหาได้จากที่ไหน และเราจะจัดการกับพลังงานที่ไม่ดีได้อย่างไร?

"แค่ไปอยู่กับธรรมชาติ ก็ได้พลังงานบวกแล้ว ทำสมาธิก็ช่วยเยอะมากๆ เหวินจะชอบให้ลูกค้าหายใจออกยาวๆ มากกว่าหายใจเข้า เพื่อเคลียร์พลังงานเก่าๆ ออกไป ซึ่งเป็นการดีท็อกซ์สิ่งที่ตกค้างภายใน เพราะเหวินเชื่อในพลังของธรรมชาติมากๆ น้ำก็จะให้ความรู้สึกอีกอย่าง แค่ไปเดินใกล้ๆ ก็สงบนิ่ง แสงพระอาทิตย์ก็ช่วยเติมธาตุไฟให้เรา แบบไปตากแดดตอนเช้าหน่อย การเดินเท้าเปล่ากับหญ้าก็ช่วย จริงๆ ถ้าใครมีสัตว์เลี้ยง ก็ไปอยู่กับสัตว์เลี้ยง เพราะเขาช่วยเรื่อง Heart จักระ ทำให้เราเปิดใจได้ง่ายขึ้น โยคะก็เป็นศาสตร์และจุดเริ่มต้นของการออกกำลังกาย เป็นจุดที่ทำให้เราผ่อนคลายได้ เหมือนเวลาเราเครียดเราจะห่อตัวโดยที่เราไม่รู้ตัว เหมือนเวลามันค้าง ศาสตร์โยคะเชื่อว่า อารมณ์ต่างๆ มันค้างอยู่ตามข้อต่อ พอเรายืดเหยียดร่างกาย ความเครียดมันจะออกมาได้ดีมากขึ้น อาจออกมาจากเหงื่อ ซึ่งสิ่งที่โยคะไม่เหมือนการออกกำลังกายอื่นๆ คือ เน้นการโฟกัสที่ร่างกายเยอะกว่า ทำให้มีสมาธิเพิ่มมากขึ้น"

แต่อาจมีคนบางกลุ่ม ที่มองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งไม่จริง งมงาย และสูญเปล่า คุณมีความคิดเห็นอย่างไร?

"การจะเปลี่ยนความคิดคนได้ เขาต้องไปเจออะไรมาเองก่อน เหวินเป็น Journey ที่คลินิกกับหมอคนนั้น แต่โยคะมันช่วยเราได้เยอะกว่า ซึ่งมันควรไปลองให้ครบทุกอย่าง ถ้าเราเปิดใจได้เราจะมีเครื่องมือมากยิ่งขึ้นในการจัดการกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การทำสมาธิ นั่งสมาธิ หรือเดินสมาธิ บางคนไม่ชอบก็ไปโยคะ หรือการเดินในที่ธรรมชาติก็ช่วยฮีลลิ่งได้เป็นอย่างดี บางคนชอบกินก็เปลี่ยนการกินของตัวเอง ซึ่งศาสตร์พวกนี้เป็นแค่เครื่องมือ และเราค่อยหา Routine ที่ Sustainable ได้ ที่ทำให้เปลี่ยนชีวิตเราได้น่าจะดีที่สุด"

“แต่ก่อนพ่อแม่เหวินก็ไม่อินเรื่องพวกนี้นะ แต่ถ้ามีคนรอบข้างเปลี่ยนไป เขาจะเห็นเอง และเขาจะอยากไปลองเอง เหวินจะไม่ไปบังคับว่าจะต้องมาหรือทำตาม”

ความท้าทายในการทำ Kiss My Soul

"ตอนนี้ยังไม่มีทีมทำ เราก็ต้องดูก่อนว่าเราไหวแค่ไหน สำหรับแนว Healer มันจะเจอเคสที่ใกล้ตัวเรา เขามีชีวิต หรือ Journey ที่คล้ายๆ เรา แล้วเราจะเอาตัวเองออกมาอย่างไร เพราะคนเรามีสิ่งที่ต้องเจอไม่เหมือนกัน ช่วงแรกที่เจอเคสใกล้ๆ กันก็จะนิ่งไปนิดหนึ่ง เราจะพูดหรือไม่พูด แล้วอะไรคือคำพูดที่ถูกต้อง ก็ต้องไตร่ตรองเยอะเหมือนกัน อาจบอกเขาว่าเราไม่ใช่นักจิตวิทยา อาจไม่สามารถให้คำปรึกษาด้านคำพูดได้เต็มที่ แต่สามารถให้คำปรึกษาด้านพลังงานมากกว่าว่าเป็นอย่างไร และควรไปทำอะไร เพราะอันนี้แค่ Base On ประสบการณ์ของเรา แต่คุณต้องมีประสบการณ์ของตัวเองอีกแบบหนึ่ง เหมือนเป็นชาเลนจ์เราให้เรา Overcome เพื่อให้เราโตขึ้นและไม่เอาตัวเองไปยัดใส่เขา เพื่อให้เขามี Journey ของตัวเอง และกลับไปที่เป้าหมายโดยให้เขายืนได้ด้วยตัวของเขาเอง กล้าที่จะเชื่อเสียงในหัวของตัวเอง"

“Maintain Energy ตัวเอง เพราะเราไปเจอคน เราต้องให้ Energy คนอื่น อย่างเราบอกให้คนอื่นหยุด เราก็ต้องดูด้วยว่าเราต้องหยุดตอนไหน ที่มันจะสมดุล”

ตั้งแต่ทำ Kiss My Soul มา มีโมเมนต์อะไรที่รู้สึกชื่นชอบและประทับใจบ้าง?

"เหวินมองว่านักเรียนเราก็เป็นเหมือนครู เขาเหมือนเข้ามาสอนในสิ่งที่เราควรจะรู้ เหมือนบางคนเข้ามาสอนและเป็นกระจกสะท้อนให้เราว่า ในสถานการณ์นั้นเราเป็นแบบนี้เหรอ หรือบางคนเข้ามาเพื่อให้เรามี Boundary ที่ดีกว่านี้ และคนเราควรจะต้องมีความแข็งแกร่งด้วยตัวเอง บางทีเข้ามาเหมือนเป็นกำลังใจ เพราะลูกค้าค่อนข้างน่ารักและพอเขามาเวิร์กช็อปและรู้สึกว่าได้ผลจริงๆ เขาจะเล่าให้เราฟังว่าตรงกับ Vision ที่เราอยากทำพอดีก็เป็นเหมือนการต่อกำลังใจ เป็นแพชชั่นที่ทำให้เราอยากให้คุณค่ากับโลกใบนี้ในวันที่เรารู้สึกเหนื่อย โลกใบนี้ก็เหมือนให้อะไรเรากลับมา จนเรารู้สึกว่าสายนี้ Energy มันไม่มีวันหมด ได้ส่งไปและรับกลับมา เราแฮปปี้เวลาเจอลูกค้าเวลาที่เขามาบอกเราว่าเขาเปลี่ยนไปจริงๆ เพราะเขาเคยรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง แล้วเขามาฟีดแบ็กกับเราว่าเขามั่นใจขึ้นแล้ว เขาเติบโตขึ้น เราเหมือนสร้าง Chapter 1 ให้ทุกคน ในอนาคตเราอาจค่อยๆ เป็น Chapter ต่อๆ ไป ลูกค้าก็น่าจะเติบโตไปพร้อมๆ เรา ในวันที่เราฮีลลึกขึ้นก็ทำให้อยากมีคนมาทำแบบนี้กับเรามากขึ้น"

“ตอนเริ่ม Kiss My Soul แรกๆ ลูกค้าเป็นต่างชาติ 50% ตอนนี้เป็นคนไทย 100% ถามว่าเปิดใจแล้วยัง เหวินว่าเขาเปิดใจเยอะอยู่ ด้วยโควิดสะสมทำให้คนเราเสียสุขภาพจิตเยอะมากๆ ตอนนี้เทรนด์นี้อย่างไรก็มา ตอนนี้ดีมานด์เรื่องสุขภาพเยอะ สตูดิโอโยคะมีเยอะขึ้น คนทำ Healer ก็เยอะขึ้น ซึ่งดีมากๆ เพราะจะได้ช่วยกันอัพพลังงานรอบๆ ตัว คนที่ต้องการมันก็ทำให้มีทางเลือกเยอะขึ้นหลายๆ ทางให้เขาเข้าใจ Holistic Health มากขึ้น”

ปัญหาหรืออุปสรรค และมีวิธีการจัดการอย่างไร?

"ตอนเริ่มก็เริ่มคนเดียว เรารู้สึกว่าเราเป็นคนครีเอทีฟมาก เรื่องอุปสรรคส่วนมากจะเป็น structure การทำ Financial Structure ที่ดี เพื่อที่เราจะสามารถขยายได้ในอนาคต พอทำธุรกิจเราให้คุณค่ากับคนแหละ แต่เราก็ต้องทำให้มันยั่งยืนให้ได้เรื่อยๆ ด้วยกำลังเรา เราจะขยายทีมอย่างไร และจะทำอย่างไรต่อในอนาคต เพราะเริ่มมีฐานลูกค้าแล้ว เรื่องครีเอทีฟเราไม่ห่วง เพราะเรามีไอเดียเยอะ อยากให้มันไปเรื่อยๆ เพราะไม่ได้มองตรงนี้แค่ปีหรือสองปี แต่มันต้องไปได้ไกลกว่านั้น"

หัวใจสำคัญของการทำ Kiss My Soul คืออะไร?

"ตอนนี้คือแพชชั่นเราและเราแฮปปี้ด้วยระหว่างทาง ถ้าช่วงไหนรู้สึกเหนื่อยก็จะพักเลย เหมือนตอนนี้เราให้ความสำคัญกับตัวเองมากที่สุด เพราะถ้าเราไม่เต็มเราจะไม่ทำเวิร์กช็อป เพราะเขาจะไม่ได้รับพลังงานที่ 100% จากเรา แล้วมันจะไม่ยั่งยืนแน่นอน ช่วงไหนที่เรารู้ตัวว่าจะต้องไปพัก เราก็ต้องหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ไปพักและไปเคลียร์ตัวเองให้เต็มที่ก่อน"

เราได้รับอะไรจากการทำ Kiss My Soul บ้าง?

"เยอะมากเลย มันเหมือนเราได้ฮีลตัวเองด้วย ทุกอย่างใน Journey เราเพิ่งเป็นรูปเป็นร่าง ให้อิสระและทำให้เรามั่นใจในตัวเองมากขึ้น เราหาเงินได้ เราอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง ด้วยความสามารถทั้งหมด ด้วยการสร้างเพจขึ้นมา ทำเวิร์กช็อป และมีลูกค้ามาเวิร์กช็อปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องบอกให้คนอื่นมาชมเรา มันรู้ตัวเองโดยไม่ต้องวิ่งตามหาใคร แต่ก่อนเรามีปัญหานี้เยอะ เพราะเป็นพาร์ทของเรา มันทำให้เราเห็นตัวเองในหลายๆ ด้าน และตอนนี้มาอยู่ใน Feminine Energy ค่อนข้างเยอะ มีความหยินมากขึ้น อยากดูแลคนอื่นมากขึ้น ตัวเองใจเย็นลง มีความคิดที่เปลี่ยนไปในด้านการทำงาน สุขภาพดีขึ้นด้วย"

“สุดท้ายแล้วเหวินไม่ได้สามารถดูแลทุกคนได้หลังจากจบเวิร์กช็อป แต่ถ้าเขามีและเจอ รู้สึกปลอดภัยตอนที่ทำเวิร์กช็อป แล้วแลกคอนแท็กกัน เขาอาจจะไปดูแลกันในอนาคต หรือสร้างคอมมูนิตี้ที่แน่นแฟ้น ซึ่งนี่คือเป้าหมายของตัวเองเหมือนกัน”

ความคาดหวังและอนาคตของ Kiss My Soul

ตอนนี้อยากสร้างอิมแพกให้ใหญ่ขึ้น เหวินอาจไม่ได้มองแค่ประเทศไทย เพราะเราพูดภาษาอังกฤษได้ เราอยากทำให้เป็น Branding ที่สร้างจากคนไทย แต่ไม่จำเป็นต้องจบที่ประเทศไทย ค่อยๆ ทำไป แต่ตอนนี้ยังอยากทำคนเดียวอยู่ เพราะมันรู้สึกโล่งๆ ทำบ้างหยุดบ้าง แต่ปีหน้าอาจจะจริงจังมากขึ้น เริ่มมีทีม มี Structure ที่ใหญ่ขึ้น เพราะตอนนี้ยังสนุกกับการทดลอง พอมันใหญ่ เราจะให้อะไรพวกเขาได้มากขึ้น อาจไม่ใช่แค่การเวิร์กช็อป แต่เป็นคอนเทนต์ หรือโปรดักส์ Empower ให้เขามี Routine ที่ดีได้

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมของ Kiss My Soul ได้ที่

Facebook: Kiss My Soul
Instagram:
kissmysoul.journey