อุบัติเหตุ และความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ ส่วนอะดรีนาลีนก็สูบฉีดพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย กับการแสดงโชว์ผาดโผนที่ทุกคนรู้จักในชื่อ 'รถไต่ถัง' ซึ่งมีทั้งรถมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ที่ใช้ทำการแสดง เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชม เมื่อสิ้นสุดการแสดงรางวัลของผู้ขับขี่ที่ท้าทายความตายจะเป็นเสียงปรบมือ เสียงเชียร์ และเงินจากผู้ชม
รถไต่ถัง แค่ชื่อก็ดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อยแล้ว ถ้าใครไม่เคยดู หรือไม่รู้จักการแสดงนี้มาก่อน ก็ไม่รู้ว่าภาพคิดในหัวจะออกไปในทิศทางไหนเหมือนกัน อย่างไรก็ตามชื่อเรียกที่เป็นภาษาอังกฤษมีชื่อว่า ‘Wall of Death’ แปลไทยก็ 'กำแพงแห่งความตาย' ซึ่งชื่อนี้ชวนให้รู้สึกถึงความอันตราย ความตื่นเต้น ตลอดจนความอยากรู้อยากเห็นได้มากกว่าชื่อไทยอยู่พอสมควร
แต่ไม่ว่าจะชื่อเรียกแบบไหนก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะสุดท้ายวิธีการแสดงก็เหมือนกันนั่นแหละ แถมการแสดงนี้ยังมีจุดเริ่มต้นความเป็นมายาวนานเป็น 100 ปีแล้วด้วย ซึ่ง EQ จะพาคุณไปรู้จักกับการแสดงผาดโผนของยานยนต์สุดเร้าใจอันนี้จากอดีตจนถึงในปัจจุบัน เรียกได้ว่าระยะการเดินทางที่ยาวนาน มีอะไรให้พูดถึงเยอะอย่างแน่นอน
จุดเริ่มต้นความเป็นมาของรถไต่ถังเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1911 ที่สวนสนุก ‘Coney Island’ สหรัฐอเมริกา โดยชื่อเดิมของการแสดงนี้มีชื่อว่า Motordrome ซึ่งเป็นการเรียกที่อ้างอิงกับการแสดงขับขี่ที่อยู่ในโดมทรงกลมขนาดใหญ่ ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมีการเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เป็น Wall of Death เนื่องจากมีผู้คนที่เสียชีวิตในการแสดงนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวนักแสดงขับขี่ หรือผู้ชมที่เข้ามาดูก็ตาม สำหรับในช่วงเริ่มต้นของการแสดงโชว์ผาดโผนจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์เพียงเท่านั้น ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมีรถยนต์ใช้ในการทำแสดงอีกด้วย
ทั้งนี้รถไต่ถังจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 3 สิ่ง ได้แก่ สถานที่ทำการแสดง (ถัง), รถมอเตอร์ไซค์ และตัวผู้ขับขี่ โดยส่วนประกอบแต่ละอย่างที่ได้กล่าวถึงนั้น ถือได้ว่าทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีความเฉพาะเจาะจง ทุกอย่างไม่มีทางที่จะเลือกนำมาใช้แสดงได้แบบมั่วๆ ซึ่งเรื่องนี้มันเกี่ยวโยงกับความอันตราย และความตายแบบปฏิเสธไม่ได้
เริ่มกันที่สถานที่ทำการแสดง ถือได้ว่ามีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งโลกเลยก็ว่าได้ เพราะจำเป็นต้องเป็นทรงกลมเพียงเท่านั้น จะมีก็แต่เพียงเส้นผ่าศูนย์กลางเท่านั้นที่มีความแตกต่างกันออกไป โดยกำแพงจะทำมุมตั้งระหว่าง 70 - 90 องศา เพื่อให้นักแสดงสามารถขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ให้ติดอยู่กับผนังได้นั้นเอง ส่วนวัสดุที่ใช้ทำถังแสดงก็จะนิยมเป็นไม้ ซึ่งรูปร่างหน้าตาของถังที่ใช้ทำการแสดงจะดูคล้ายเป็นกลองอีกด้วย
เพื่อความท้าทายความตื่นเต้นของผู้ชมแล้ว โครงสร้างของถังแสดงจะไม่มีราวกั้นเพื่อความปลอดภัยแต่อย่างใด แต่ส่วนใหญ่จะทาสีในตำแหน่งขอบถังเสียมากกว่า เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนว่า อยู่ในจุดที่อันตราย และเรื่องของอุปกรณ์ป้องกันนิรภัยต่างๆ ก็ไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะเห็นมีแค่หมวกกันน็อกเพียงเท่านั้น แต่นักแสดงจะใส่หรือไม่ใส่ก็แล้วแต่บุคคล หรือข้อบังคับในสถานที่นั้นๆ อีกทีหนึ่ง
เมื่อไม่มีอุปกรณ์ที่กันไม่ให้รถมอเตอร์ไซค์หลุดมาชนกับคนดู ทำให้คนดูจะได้ใกล้ชิดกับนักแสดงผู้ขับขี่แบบมากๆ ซึ่งผู้ชมส่วนใหญ่จะนิยมยื่นเงินให้กับนักแสดงที่ขับขี่ได้มาคว้าเอาไปจากมืออีกด้วย ถือเป็นสีสัน และความตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นจากการรับชมการแสดง
ในช่วงยุคเริ่มต้นของการแสดงนั้น รถมอเตอร์ไซค์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงก็คือแบรนด์ Indian Motorcycle ส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากทางบริษัทได้สนับสนุนการแสดงประเภทนี้ก็ว่าได้ และรถมอเตอร์ไซค์ Indian ยังตอบโจทย์การแสดงมากกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆ โดยนอกจากกำลังเครื่องยนต์ที่เพียงพอให้ใช้งานแล้ว น้ำหนักของรถมอเตอร์ไซค์ก็ต้องเบา รวมไปถึงทนทานในการใช้งานอีกด้วย ซึ่งความเร็วเฉลี่ยในการแสดงจะเริ่มต้นที่ความเร็ว 50 กม./ชม. เป็นอย่างต่ำ ก็เพื่อให้รถสามารถต้านแรงดึงดูดของโลกได้
สำหรับคู่แข่งที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกันกับ Indian Motorcycle ก็คือ Harley Davidson ซึ่งทั้งคู่ถือว่ามีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกา เพียงแต่ว่า รถมอเตอร์ไซค์ของ Indian ตอบโจทย์การใช้งานในรูปแบบนี้มากกว่า ทำให้แทบจะไม่เคยเห็นพวกเขาใช้ Harley Davidson ในการแสดงผาดโผนเลย โดยเราคุยกันในแค่บริบทตอนยุคเริ่มต้นเป็นหลักเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม รถมอเตอร์ไซค์ที่จะใช้ทำการแสดงได้นั้น ก็จำเป็นต้องมีการดัดแปลงเพิ่มเติมอีกด้วย ที่นิยมส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการถอดอุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออกไปให้หมด เพื่อให้รถมอเตอร์ไซค์มีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ยังมีการปรับแต่งอุปกรณ์บางอย่างใหม่ที่ทำให้การขับขี่ควบคุมมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย อีกหนึ่งอย่างที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่ก็คือ 'ท่อไอเสีย' เรื่องนี้เกี่ยวกับการสร้างบรรยากาศที่น่าตื่นเต้น ซึ่งเสียงของท่อไอเสียดังๆ สามารถช่วยสร้างความสะดวกตื่นเต้นได้อย่างดีเยี่ยม
เช่นเดียวกับตัวผู้ขับขี่ หรือนักแสดงก็ถือว่ามีส่วนที่สำคัญอย่างมากเช่นกัน ซึ่งถือว่า เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ใครจะสามารถทำได้เลยทันที ทักษะสกิลต่างๆ ล้วนต้องมีการฝึกฝนฝึกซ้อมมาเป็นระยะเวลานาน เพราะมันไม่ใช่การขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ในรูปแบบปกติทั่วไป
นอกจากนี้เรื่องของประสบการณ์ผู้ขับขี่แสดงโชว์ยิ่งมีมากเท่าไร ก็จะโชว์ท่ายากได้มากเท่านั้น สิ่งนี้ถือว่าเป็นตัวบ่งบอกถึงฝีมือความสามารถก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นการขับด้วยความเร็วสูงที่ทำให้ดูหวาดเสียวกว่าปกติ ตัวผู้ขับขี่มีการเอนตัวไปตามในทิศทางต่างๆ และบางครั้งก็อาจมีการยืนขึ้นบนเบาะนั่งรถมอเตอร์ไซค์ระหว่างขับขี่แสดงโชว์อีกด้วย
หากคุณอยู่ต่างประเทศจะสามารถหาชมรถไต่ถังได้จากสวนสนุก ละครสัตว์ และงานคาร์นิวาลต่างๆ ซึ่งตอนช่วงเริ่มต้นเรียกได้ว่ารับความนิยมอย่างสูง และก็ค่อยๆ ลดความนิยมลงไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของรสนิยมของผู้ชมเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน นอกจากนี้ยังมีความกังวลด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น และกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลทำให้การแสดงในที่สาธารณะลดน้อยลงไปทุกที
สำหรับในเมืองไทยจุดเริ่มต้นของการแสดงนี้เกิดขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 7 กับชายที่มีชื่อว่า 'นายเลื่อน กระดูกเหล็ก' ซึ่งถือว่า เป็นคนไทยคนแรกที่สามารถขับแสดงรถมอเตอร์ไซค์ไต่ถังได้ โดยเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากชาวต่างชาติที่มีชื่อว่า 'มิสเตอร์คิง' ได้เข้ามาทำการแสดงในประเทศไทยเป็นครั้งแรก พร้อมประกาศท้าทายว่า ใครก็ตามที่สามารถขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้แบบเขา ก็จะยินดีจ่ายเงินให้มากถึง 200 เหรียญอเมริกันเลยทีเดียว และในครั้งนั้นก็ไม่มีใครสามารถทำได้ แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นทำให้นายเลื่อน กระดูกเหล็ก มีความสนใจ และเริ่มฝึกซ้อมการขับขี่รถไต่ถังนั้นเอง เรียกได้ว่านี้เป็นจุดเริ่มต้นในเมืองไทยจนถึงปัจจุบัน
เหมือนหลับตาไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เมื่อรู้ตัวอีกทีเราก็สามารถไปชมการแสดงได้ตามงานประจำจังหวัด งานวัดต่างๆ เป็นปกติ มันได้กลายเป็นการแสดงที่หาดูได้ไม่ยากแล้วอีกต่อไป ซึ่งรูปแบบการแสดงการขับขี่ก็จะเหมือนกับพวกฝรั่งมังค่า แต่ในไทยอาจจะมีการไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพิ่มเติมเข้ามาอีกเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้แสดงก็จะใช้เป็นรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปที่ขายอยู่ในบ้านเรา และจะนิยมใส่ท่อไอเสียดังๆ เนื่องจากเสียงท่อไอเสียมีความแผดที่ดัง สิ่งนี้ช่วยเร่งอารมณ์ความตื่นเต้นของผู้ชมได้เป็นอย่างดี
แต่ในทุกวันนี้ รถไต่ถังคงจะเลยจุดสูงสุดจุดพีกมาหมดแล้ว เพราะกระแสความนิยมของการแสดงโชว์รถไต่ถังก็ลดลงไปจากในอดีตมากพอสมควร กลับกลายเป็นว่า คุณสามารถหาดูการแสดงนี้ได้ยากขึ้นกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งก็เกิดจากวิถีชีวิตผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป ความบันเทิงความสนุกต่างๆ มีให้เลือกมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน นอกจากนี้คนที่เป็นเจ้าของกิจการ หรือเป็นนักขี่ที่แสดงโชว์ก็เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นๆ แทนอีกด้วย ถ้าเปรียบเทียบในตอนนี้ก็เหมือนเป็นช่วงปลายของการแสดงโชว์รถไต่ก็ว่าได้…
อ้างอิง
National Motor Museum
Silodrome Gasoline Culture
The Momentum
Auto Info