~เราคงจะรู้จัก Notep ในฐานะศิลปิน อินฟลูเอนเซอร์ และเจ้าของแบรนด์ชื่อเดียวกัน แต่หลายคนอาจจะลืมไปว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้มาอยู่ตรงนี้เธอเคยเป็น ‘นท The Star’ มาก่อน ซึ่งเธอก็พยายามจะลบภาพจำของสาวน้อยเล่นอูคูเลเล่คนนั้นออกไปอยู่พักใหญ่ ด้วยการทำวงดนตรีอินดี้ แต่ก็ยังมีเรื่องราวอื่นๆ ที่ทำให้จิตใจสั่นคลอนจนต้องเข้าสู่การเดินทางทางจิตวิญญาณเพื่อเยียวยาตัวเองจากภายใน
~ตอนนี้ ‘นท พนายางกูร’ ทำให้ทุกคนจดจำและมองเห็นเธอเป็นภาพเดียวกับที่เธอมองตัวเอง ซึ่งหลังจากที่พักการทำสิ่งที่รักไปนานถึง 7 ปี เธอก็ได้คัมแบ็กในนาม Notep อย่างเต็มภาคภูมิ และมีอัลบั้มใหม่ที่ชื่อ ‘Metamorphogenesis’ บอกเล่าเรื่องราวที่เธอพบผ่าน เรียนรู้ และอยากแบ่งปันกับทุกคนผ่านซาวด์อิเล็กทรอนิกลึกล้ำ ผสมผสานวัฒนธรรมเวิร์ลมิวสิกจากหลายๆ ที่ สำหรับใครที่ยังไม่คุ้นกับเรื่องราวของนท เราขอชวนมาอ่านบทสัมภาษณ์นี้เผื่อว่าคุณจะรู้จักตัวตนของเธอมากขึ้น
จาก ‘นท The Star’ สู่ ‘Notep’
~เด็กหญิงนทเติบโตที่เชียงใหม่โดยร้องเพลงและวาดรูปมาตลอดตั้งแต่จำความได้ เธอได้วิ่งเล่นในธรรมชาติกับเพื่อนๆ และได้ร่วมกิจกรรมอาสาช่วยเหลือชุมชนกับโรงเรียนอยู่บ่อยๆ จนช่วงม.ปลาย เธอก็ได้ไปแลกเปลี่ยนที่อิตาลี ซึ่งตอนนั้นเองที่ทำให้นทได้ใช้เวลากับตัวเองจนเจอว่าอันที่จริงแล้วชอบอะไร และส่วนหนึ่งที่เป็นการแนะนำเข้าสู่ความ free spirited ก็คือครอบครัวแลกเปลี่ยนของเธอ
~“โชคดีที่ host family ชอบช่วยเหลือ ชอบงานการกุศล ก็ค่อนข้างตรงทางเรา ตอนนั้นเหมือนสามารถละทิ้งอะไรหลายๆ อย่างในโลกวัตถุที่เป็นทุนนิยมได้ ชอบคุยกับทุกคน เราเดินทางคนเดียวที่ยุโรป มีเพื่อนรอบโลก มีแต่พลังบวก หวังดีต่อทุกคน มองโลกสวยงามมาก แล้วพอกลับมาก็เห็นป้ายโฆษณา The Star รู้แค่ว่าเป็นการประกวด ไม่เคยดู แต่ก็สนใจ เลยบอกแม่ว่า ‘นทจะไปนะ’ เป็นคนกล้าแสดงออกมาก มีความสุขที่ได้แสดงต่อหน้าคนดู เราเลยรู้ว่ายังไงก็ตามโตขึ้นมาก็อยากเป็นนักร้อง”
ตอนเด็กๆ ชอบศิลปินคนไหน?
~“เราฟังค่อนข้างหลากหลาย ฟังเพลงที่คุณพ่อคุณแม่ชอบฟัง พี่ตู่ นันทิดา พี่เบิร์ด ธงไชย Bakery Music แต่โตขึ้นมาเรียนดนตรีก็ฟังแจ๊สค่ะ เพราะที่ไปเรียนเป็นโรงเรียนแจ๊สมากๆ Ella Fitzgerald, Billie Holiday, Louis Armstrong จะได้เรียนร้องคลาสสิกแจ๊สตลอดทั้งที่เมื่อก่อนก็ไม่รู้จักหรอก แต่พอเราฟังไปเรื่อยๆ ก็ชอบความ free form ของดนตรีแจ๊ส นอกจากนั้นเพื่อนที่โรงเรียนก็ชอบฟัง Billboard Chart, Bruno Mars แล้วก็จะชอบฟังอินดี้ Zee Avi, Angus & Julia Stone”
จากป๊อปสตาร์จนมาเป็นศิลปินนอกกระแส
~“โตขึ้นมากหลายเท่าค่ะ เมื่อก่อนเราแค่อาจจะรู้ว่าเราชอบ แต่ยังบอกไม่ได้ 360 องศาว่านทต้องเป็นแบบนี้ และอาจจะยังไม่ได้เรียนรู้เรื่อง music production การใช้เครื่องไม้เครื่องมือหรือโปรแกรมต่างๆ อยากจะแค่เล่นแค่อูคูเลเล่ เขียนเพลง แล้วก็เริ่มทำวง The Krrr ช่วงมหาลัย ส่วน X0809 มีสมาชิกจากอีกวงมาทำด้วยกันคือพี่เยล (อัญญา เมืองโคตร) เหมือนเป็นโปรเจกต์ไว้ปลดปล่อย ไปสุดขั้วอีกทางเลยเพราะต้องการล้างภาพเดิมของ นท The Star ให้หมด ซึ่งทำได้สำเร็จแต่มันก็ยังอยู่ในกลุ่มคนน้อยๆ อยู่ สำหรับคนที่ชื่นชอบอะไรแบบนี้เขาดูแล้วก็แบบ ‘ไอนี่มันบ้านะ ไม่ได้เป็นป๊อปสตาร์อย่างเดียว’ แต่ที่ไม่ได้ไปต่อเพราะหนึ่ง พอไม่ได้มีค่ายแล้วต้องทำเอง มัน burn out สองคือเพื่อนร่วมวง ตอนนั้นพี่เยลเขาต้องการไปเรียนต่อ คุณพ่อคุณแม่เขาไม่เก็ตละว่าชีวิตศิลปินอินดี้คืออะไร จะเอารายได้มาจากไหน ส่วนตอนนี้พี่เยลเขาเป็นดีไซเนอร์จริงจัง ทำ biodegradable materials ปลูกสาหร่ายมาเป็นพลาสติกทดแทน นททำเรื่อง sustainability เราก็ยังทำงานด้วยกันได้”
‘Metamorphogenesis’
ชื่ออัลบั้มใหม่ ‘Metamorphogenesis’ หมายถึงอะไร?
~“การเกิดใหม่ การกลายสภาพ จะเป็นผีเสื้อก็ได้ เป็นนางเงือกก็ได้ เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่เราให้ความสำคัญ เหมือนตอนนี้เราเจอแล้วว่าเราคือใคร ต้องการพูดเรื่องอะไร ซาวด์เป็นแบบไหน และเสียงของเราที่จะร้องออกมาควรจะเป็นยังไง ความตั้งใจของอัลบั้มนี้คือเป็นอาร์ตโปรเจกต์ให้เรากลับมารักในดนตรีของเราอีกรอบนึง ซึ่งเรารู้สึกว่ามันได้ทำงานของมันสำเร็จแล้วในแง่นั้น อย่างอื่นต่อจากนี้ไปคือโบนัส การที่ศิลปินคนนึงจะทำเพลงที่ทำให้เกิดการพูดคุยหรือแชร์กัน รู้สึกว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนฟัง
~“ความหวังของเราลึกๆ ก็อยากให้มันฮีลคนแหละค่ะ อยากให้คนได้คอนเน็กกับตัวเองข้างใน สมัยนี้เพลงใหม่ๆ ดีเยอะมากเลยนะ แต่เพลงส่วนใหญ่พาคนไปข้างนอก ไม่ได้พาคนเดินทางเข้าข้างใน เราเลยอยากเป็นส่วนนั้นที่พาเขากลับมาคุยกับตัวเอง ไปแก้ที่จุดหนึ่งของปัญหาโดยเริ่มจากข้างใน นทเชื่อว่าสมัยปัจจุบันทุกคนก็มีปัญหาของตัวเอง แล้วปัญหาก็ดูจะมากมายขึ้นด้วยเทคโนโลยี ด้วยโลกที่มันหมุนเร็ว และงานนี้เหมือนทำให้ทุกคนรู้สึกว่า มันโอเคนะที่จะมีความรู้สึกแบบนี้ เราเองก็รู้สึกเหมือนกัน แล้วคุณจะผ่านมันไปได้”
เรียกเพลงในอัลบั้มนี้ว่าเป็นแนวอะไร?
~“เราว่ามันเป็น experimental electro pop แต่ก็มีความเวิร์ลมิวสิก new age แต่ก็ไม่ได้ฟังยาก ยังมีอะไรบางอย่างที่คนเข้าถึงได้ง่าย ตอนที่ทำสนุกมาก บอกตัวเองว่าไม่มีกฎอะไรเลย อยากทำอะไรทำ ไม่มีผิด ไม่มีถูก ในอัลบั้มนี้ไม่ใช่แค่ซาวด์ มีวิชวลด้วย สวยมาก ไซรัส (Cyrus James Khan) ทำได้ดีมากจริงๆ กำลังจะปล่อยอีกเอดิชันนึง อยากให้ดูพร้อมๆ กับฟัง เพราะมันจะพาไปอีกโลกเลย”
อัลบั้มนี้มีการร่วมงานกันหลายคนมาก ทั้งปกป้อง จิตดี (Plastic Plastic) แล้วก็ Tontrakul ด้วย
~“ใช่ค่ะ ต้องขอบคุณมาก จริง ๆ พี่ปกป้อง เป็นคนแรกที่นทเดินไปหาบอกว่าอยากทำอัลบั้ม ‘สอน Ableton หน่อย’ ก็เอาคอมไปนั่งกับพี่ปกป้อง 'ทำไง ๆๆๆ’ แบบนี้ทั้งวัน แล้วถึงกลับมาบ้าน เริ่มทำทุกอย่าง เป็นคนให้คำปรึกษามากๆ สำหรับโปรดักชันของอัลบั้มนี้ แล้วก็เป็นคนมิกซ์ให้ด้วย ประมาณ 8 เพลง นอกจากนั้น ชื่อพี่โป้ง Chalo เป็นเอนจิเนียร์ที่เก่งมากๆ
~“ส่วนแทร็ค ‘Zap Zap’ อยากให้พี่ปกป้องทำด้วย แต่ไม่รู้ต้องทำอะไร พี่ปกป้องบอกว่า ถ้าพิณ ต้องพี่ต้นตระกูล ก็เลยติดต่อเขามาอัดพิณค่ะ เพลงนั้นจริง ๆ อยากให้คนคอนเน็ก กลับไปที่รากของตัวเอง อยากให้คนเต้นโยกกับบีท เหมือนเมื่อก่อนเราแค่เต้นกับจังหวะกลอง เขาใช้กลองเป็นภาษาเลยด้วยซ้ำ แล้วที่มีซาวด์หลายประเทศมากๆ เพราะเราอยากหลอมรวมทุกคัลเจอร์ มันก็แซบดี อยู่ในช่วงที่เป็นไฟลุกโชน
~“HaC คือ Heart Activation Collective เป็น collective ของเราที่ทำเรื่อง sound meditation ด้วยกัน ไม่ใช่สัตว์ DKF เป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เป็นนักร้องมาก่อน เสียงเพราะ เลยแบบ ไหนมาร้องเพลงฝรั่งเศสให้เราหน่อย
~"อย่างเพลง ‘Pai Tiew’ นั่นคือเสียงหมาที่บ้านเลย (EQ: อัดกี่เทค) ไม่กี่เทคค่ะเพราะที่บ้านบอกเขาซ้อมตลอดเวลา (หัวเราะ) หอนบ่อยมาก ต้องให้เครดิต Batju คือแบ็ทแมน กับ ฟูจู โปรเจกต์นี้ฟรีฟอร์มมาก อยาก featuring ไปทั่ว เกรียนๆ เลย เราต้องการให้สนุกที่สุด ก็ไม่มีใครห้ามนี่
~“ส่วน ‘Outro’ ที่เป็นเสียงคุณยายพูดว่า ‘กลับบ้าน’ เพราะอีกหนึ่ง hidden message ของอัลบั้มนี้เหมือนการหาทางกลับบ้านของเรา บ้านไม่ใช่บ้านที่มีครอบครัวอย่างเดียว แต่เป็นบ้านที่หมายถึงข้างใน หรือกระทั่งบ้านในแง่ของธรรมชาติ บ้านในแง่เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือว่าจักรวาล คอนเน็กชันของบ้านทั้งหมด”
อัลบั้มนี้แซมพ์เสียงมาซะส่วนใหญ่ ไปแซมพ์เองเลยไหม?
~“พวกเสียงสัตว์ แล้วแต่ บางทีได้มาจากอินเทอร์เน็ต แต่ก็พยายามจะแซมพ์เองซะส่วนใหญ่ เสียงปลาวาฬ เสียงกบ เสียงแมว หมา (EQ: อัดเสียงวาฬยังไง) ตอนนั้นยังไม่ได้ซื้อ hydrophone ไมค์อัดใต้น้ำ เสียงมาจาก Go Pro จากกล้องใต้น้ำเลย คุณภาพมันก็โอเค เอามามิกซ์ ใส่โน่นนี่เข้าไป เพิ่มคุณภาพให้มันแบบที่ได้ยินกัน ในอนาคตก็อยากจะไปอัดเสียงใต้น้ำมากขึ้น ชอบดำน้ำมาก รู้สึกคอนเน็กกับทะเลและสิ่งที่อยู่ใต้น้ำมาก”
ได้ไปแสดงที่ Potato Head Bali มาด้วย
~“การไปที่ Potato Head เป็นอีกหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดอัลบั้มนี้ ปีที่แล้วเขาเชิญไป panel talk เฉยๆ ไม่ได้เป็นโฮสต์ พอไปร่วมงานกับเขาแล้วกลับมามันเหมือน บู้ม! เหมือนน้ำตกที่เทลงมา ได้ค้นพบว่ามันมีกลุ่มคนที่ชื่นชอบอะไรเหมือนกัน ก็รู้สึกว่าถ้าเราจะทำอะไรแบบนี้อย่างน้อยมันต้องมีกลุ่มนี้แหละที่เขาเก็ต แล้วเราก็เลยทำอัลบั้มได้ พอทำเสร็จเขาก็ติดต่อมา งานเดิมเลย แต่ปีเนี้ย มี Erykah Badu มาดูด้วย! เราแบบ โอ้มายก้อด! ทุกอย่างที่เราทำไปมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง พาเราไปในที่ที่เราอยากจะไป”
อยากให้ดนตรีพาเราไปถึงไหน?
~“ถ้าเป็นโกลจริง ๆ เราก็พูดจากใจเลยนะ อยากไปทัวร์รอบโลก การได้ทำอัลบั้มนี้มันได้อันล็อกอะไรเราบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า เราก็สามารถทำดนตรีแบบอื่นๆ ได้เหมือนกัน ตอนนี้มีไอเดียว่าอยากกลับมาทำป๊อปด้วย มันไม่มีขอบเขตหรือข้อจำกัดอะไรเลย อยากทำอะไรก็ทำเลย มันน่าจะเป็นสิ่งนี้แหละที่ทำให้เราเปิดประตูไปสู่สิ่งที่เราต้องการจะไปได้”
จะลุยดนตรียาวๆ เลยไหม?
~“ยาวเลยค่ะ ตอนนี้ไฟแรงมาก สนุก เดี๋ยวจะมี 3 งานที่กรุงเทพฯ อยากให้มาดู เพราะเวลาเล่นมันไม่ใช่แค่ซาวด์ มันเป็น experience design มีวิชวล ท่าเต้น เพอฟอร์มต่าง ๆ เราเองไปเรียนพวกมูฟเมนต์ ไม่ใช่การเต้นนะ ไปเรียนกังฟูแบบจริงจังเลย สำหรับเรา กังฟูมันคือ meditation แต่เป็นแบบการเคลื่อนไหว มันเชื่อมโยงการหายใจกับร่างกายตัวเอง ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากการทำสมาธิหรือ breath work เลย กังฟูมันมีหลายศาสตร์มาก มีอันนึงที่เรียกว่าไทชิ เราเองก็ใหม่มาก อาจารย์บอกว่าเวลาที่ยูฝึกพลังลมปราณ พลังชี่ข้างใน แต่ด้วยความที่เราเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถที่จะมีพลังชี่จากตัวเองได้ ต้องไปขอจากธรรมชาติ แล้วเวลาที่เราเพอร์ฟอร์มมันเหมือนการเผยแพร่พลังงานที่เราไปคอนเน็กมาให้กับคนดู ก็เลยอินมาก สุดท้ายแล้วมันคือเอเนอร์จี้ ท่าเต้นก็จะเหมือนเวฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ที่ทำ”
เคล็ดลับการเพอร์ฟอร์มให้เป็นตัวเองล้วน ๆ
~"ปกติไม่ค่อยกินแอลกอฮอล์เท่าไหร่ แพ้ เลยใช้วิธีนั่งสมาธิก่อน ถ้านั่งเองไม่ได้ก็เปิด guided meditation ฟัง อยู่กับลมหายใจตัวเอง แล้วก็คุยกับจักรวาล ขอ channel พลังงานมาให้เราหน่อย ก็มาจริงนะ ถ้าเมื่อก่อนก็ไหว้เจ้าที่ (หัวเราะ) ตอนนี้ขอจักรวาล"
ค้นหาตัวตนผ่าน Spiritual Journey
เข้าสู่วงการ healing ได้ยังไง?
~“หลังจากช่วง X0809 เลย ตอนนั้นเรายังเด็ก เป็นทั้งซาวด์เอนจิเนียร์ เทคนิเชียน บุ๊คกิ้ง ครีเอทิฟ พีอาร์ เป็นแมเนเจอร์ตัวเอง เคยลองหาคนช่วยทำแล้วคนที่เข้ามาก็มีแต่คนแปลกๆ สุดท้ายเรากลายเป็นเหมือนกลัวไปหมดเลยทำทุกอย่างเอง แต่พอมันเยอะเกินไปจนถึงจุดนึงไม่ไหว ก็เสียเซลฟ์ burnout จากวงการเพลงไปเลย
~“ตอนแรกๆ เราแก้ปัญหาด้วยการเอาเรื่องภายนอกมาเป็น distraction ไม่ว่าจะเป็นการช็อปปิ้ง ไปเที่ยวกลางคืน เมา อยู่กับเพื่อน แต่สุดท้ายมันไม่ได้ทำให้เราแฮปปี้เลย พอมาทำศิลปะเราก็รู้สึกว่าต้องเลือกหัวข้อให้พัฒนางานต่อไปเรื่อยๆ เราก็เลยเลือก healing เพราะตอนนั้นเราต้องการมาก ก็เลยไปศึกษาเรื่อง energy work ก็ไปเจอเรื่อง breath work, soundhealing, meditation ไปเรียน tibetan singing bowl ที่เนปาล ไปลองมาหมดเลย
~“Singing bowl ไม่ได้ให้แค่เสียงอย่างเดียว มันมีการสั่นสะเทือนที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ตรงกับคลื่นความถี่ที่ร่างกายต้องการสำหรับการ healing ร่างกายเรา 70% เป็นน้ำ น้ำเหล่านี้ก็ถูกทำให้ไม่สมดุลได้ด้วยมลภาวะทางเสียงต่างๆ ที่เราต้องเจอในทุกๆ วัน หรือแม้กระทั่งคลื่นจากอินเทอร์เน็ตก็ไปกระทบกับร่างกายเราหมด เพราะมนุษย์เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้ ในยุคเมื่อก่อนที่ยังไม่มีเทคโนโลยี มันก็เลยเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับธรรมชาติ สิ่งนี้มันมันจะคลายหรือช่วยปรับระบบประสาทหรือแม้กระทั่งเซลล์ได้ มันมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้เลย แนะนำนะ ให้ลองดู (หัวเราะ)”
ความใส่ใจและผลักดันการอนุรักษ์ธรรมชาติของนท
~“จริงๆ ที่นทเริ่มทำเรื่องสิ่งแวดล้อมเพราะหลังจากไปทำ ayahuasca เลย รู้สึกว่าเรามีโอกาสได้เดินทางไปที่สวยงามต่างๆ มีคนส่งของสวยๆ มาให้ตลอด แล้วพอได้เยอะขึ้นก็รู้สึกว่ากลายเป็นของเหลือใช้ เลยหันกลับมามองว่าสิ่งที่ทำมันดีกับเราและสิ่งแวดล้อมไหม เรามีเยอะเกินไปหรือเปล่า เลยเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์มให้เกิดประโยชน์ที่สุด เผยแพร่เรื่องสิ่งแวดล้อม หรือการเจริญสติ ไม่ใช่แค่ขายของหรือสร้างความบันเทิงอย่างเดียว”
ในฐานะศิลปินจะทำยังไงให้โชว์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยความที่โชว์ของนทก็ดิจิทัลมากๆ?
~“เรื่องแบบนี้ยากมาก ทางเดียวก็คือใช้พลังแสงอาทิตย์ไปเลย ซึ่งมันก็ไม่ได้เข้าถึงได้สำหรับทุกศิลปิน มันเป็นเรื่องว่าคุณสื่อสารอะไรออกไปให้คนฟังของคุณอยากลุกมาเปลี่ยนแปลงอะไรไหม หรือสร้างคอนเน็กชันอะไรใหม่ๆ ให้กับเขา เราอาจจะไม่ได้ใช้ดนตรีในแง่ทำให้มันส่งเสริมสิ่งแวดล้อมขนาดนั้น เราว่าน่าจะเป็นโปรเจกต์ High on your own supply ที่พยายามจดเป็น non-profit ให้เด็กๆ ที่เกาะเต่าให้เขารู้สึกภูมิใจ ดูแลบ้านเกิด ใช้งานศิลปะ งานประดิษฐ์ กับดนตรีในการเข้าถึงธรรมชาติและทำให้สนุก”
สุดท้ายนี้อยากบอกอะไรกับคนที่สนใจ mindfulness หรือเริ่มทำความรู้จักตัวเองไหม?
~“เราว่าวิธีที่ง่ายที่สุดคือการจดบันทึกค่ะ ลองเขียนดูว่าวันนี้รู้สึกยังไงบ้าง อะไรคือความรู้สึกที่ดี อะไรคือความรู้สึกที่ไม่ดี พอเราเห็นภาพรวมแล้วจะรู้ว่าทุกอย่างมีทางออกของมัน ดูซิว่าสามารถแก้ยังไงได้บ้าง หรือวันนี้อยากขอบคุณอะไรบ้าง การเขียนมันทำให้เราเห็นมากขึ้นว่าในหัวเรามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วทำให้เรามีสติกับตัวเอง กับสิ่งที่ทำอยู่มากขึ้น
~“อย่างที่สอง เอาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติให้มากขึ้น ไม่ต้องเอาตัวเองไปต่างจังหวัดก็ได้ แถวบ้านมีสวนไหม ลองไปเดินเท้าเปล่าในสวน บ้านข้างๆ บึงอะไรแบบนี้
~“สุดท้าย อันนี้เป็นเรื่องยากของหลายๆ คน ตื่นมาอย่าเพิ่งจับมือถือ สมองตอนที่เพิ่งตื่นจะอยู่ใน state ที่ทรงพลัง ให้อยู่กับตัวเองนิ่งๆ set intention เลยว่าวันนี้จะทำอะไร อยากมีอารมณ์แบบไหน เรามีโกลอะไรหรือเปล่า ทำอย่างน้อย 3-4 วันต่อสัปดาห์ แล้วจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเลย (หัวเราะ) “
ลองฟังอัลบั้มล่าสุดของ Notep ‘Metamorphogenesis’ ได้ที่ทุกสตรีมมิงชั้นนำ และรอติดตามโปรเจกต์อื่นๆ ของเธอได้ทาง https://notep.work/