Identity

โอ๊ตรู้...โลกรู้ หยั่งรู้จักรวาลผ่านศาสตร์ไพ่ทาโรต์กับ Oat Montien

Oat Montien And The Magic of Tarot Card Reading

หลายๆคนอาจจะรู้จัก “โอ๊ต มณเฑียร” ในฐานะศิลปิน, นักเขียน, หรือ อาจารย์สอนวาดรูปนู้ด แต่มีน้อยคนที่จะรู้ว่า เขาคนนี้ยังมีความสนใจอีกแขนงหนึ่ง นั่นก็คือ การอ่านไพ่ทาโรต์ ที่เจ้าตัวบอกว่าเริ่มศึกษามาตั้งแต่ 9 ขวบ “แล้วจริง ๆ เราเป็นหมอดูก่อนศิลปินอีกนะ” โอ๊ตบอกเราด้วยเสียงหัวเราะ ก่อนที่จะเปิดใจเล่าความเกี่ยวพันของชีวิต เวทย์มนต์ (ที่เจ้าตัวบอกว่า “เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง”) และการทำงานศิลปะ ที่สำหรับเขาแล้วผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาเสมอ

“ตอนเรียนที่สมาคมโหราศาสตร์ฯ เขาจะพาไปออกงานตามที่ต่างๆ นั่งโต๊ะดูดวง ได้ครั้งละ 200 บาท ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ”

แรงดึงดูดตั้งแต่เด็ก

"มันก็ตอบยากนะว่า อะไรที่ทำให้เด็กอายุ 9 ขวบ เดินไปสมัครเรียนไพ่ทาโรต์ที่สมาคมโหราศาสตร์แห่งประเทศไทยด้วยตนเอง  เรียนเองวันเสาร์อาทิตย์ และพอจบก็ตัดสินใจทำพิธีครอบครูฤาษีด้วย ส่วนหนึ่งอาจเป็นความเชื่อจากที่บ้าน  ที่ทำให้เราสนใจเรื่องไสยศาสตร์และเรื่องจิตวิญญาณ อย่างไรก็ดีเราว่าไพ่มันมีแรงดึงดูด ไอเดียที่ว่ากระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งมันผนึกพลังเวทย์มนต์ไว้ได้มันช่างอัศจรรย์ แถมสมัยนั้นเด็กๆ เขาฮิตเกมการ์ดอย่าง Yu-Gi-Oh หรือ Magic Gathering ส่วนเราก็ชอบ ซัมมอนเนอร์ (Summoner Master) ซึ่งในการ์ดจะมีภาพได้แรงบันดาลใจจากไพ่ทาโรต์ด้วย มันทำให้เรายิ่งอยากศึกษาที่มาที่ไปและสัญญะของภาพเหล่านั้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว” 

ไพ่ทาโรต์ คือ ภาพสะท้อนของจักรวาล

"ตอนนั้นเริ่มจากสำรับไรเดอร์เวทสมิท (The Rider Waite Smith Tarot Deck) คือพอรู้เรื่องดาราศาสตร์ รวมถึงเทพปกรณัม แล้วมาโยงกับภาษาภาพในไพ่ เราจะเข้าใจรายละเอียดที่ถูกซ่อนไว้เยอะมากซึ่งเรามองไม่เห็นมาก่อน ตั้งแต่การแทนค่าของดวงดาวต่างๆ เช่น พระอาทิตย์ ใน The Sun, ดาวศุกร์ใน The Empress, ดาวพุธใน The Magician, เสาแห่งวิหารโซโลมอนใน The High Priestess, ไปจนถึงสถานที่และตัวละครที่มาจากความสนใจของผู้วาด (Pamela Colman Smith) เอง อาทิ ,สุสานที่ Winchelsea ในภาพ 4 of Swords, คาแรคเตอร์ Falstaff จากละครเช็คเสปียร์ที่มาโผล่ใน 9 of Cups ฯลฯ แต่ละใบล้วนมีมิติของความหมายที่ลึกซึ้งมากๆ มันทำให้เราเชื่อในการมองจักรวาลผ่านไพ่ 1 สำรับ ดังนั้นเราไม่ได้มองไพ่ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเครื่องมือวิธีทำความเข้าใจโลก ช่วยให้เราเชื่อมต่อกับจักรวาล เข้าใจพลังงาน และเข้าใจคน ผ่าน แม่แบบ หรือ Archetypes ทั้ง 78 ที่ถูกออกแบบไว้ มันครบหมด ดิน น้ำ ลม ไฟ ชาย-หญิง และทุกสิ่งตรงกลาง”

แต่บางครั้งก็ไม่เข้าใจตัวเอง..จนต้องหยุดดูดวง!

“ช่วงนั้นดูดวงเยอะและดูแม่นมาก ไปออกงานกับชมรมบ้าง ดูให้เพื่อนให้คนที่บ้านบ้าง แล้วมีเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยน คือ ดูดวงให้คนๆ หนึ่งว่าจะเกิดอุบัติเหตุ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ครั้งนั้นเรารู้สึกว่าช่วยอะไรเขาไม่ได้ เราก็ไม่ใช่หมอดูประเภทที่แนะนำให้ไปสะเดาะเคราะห์ด้วยไง จนเรารู้สึกว่าดูดวงไปก็เท่านั้น  เพราะปกป้องเขาไม่ได้ ก็เลยหยุดดูไปพักใหญ่ๆ" 

พิธีกรรม การไปต่างแดน เพื่อกลับสู่รากเหง้า

"เรากลับมาจับไพ่อีกครั้งตอนไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า Art School ที่นั่น เหมือนโรงเรียนจิตวิเคราะห์ ที่ทุกคนต้องดูภมิหลังว่าเราแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร ต้องการหาอัตลักษณ์ของตัวเองในฐานะศิลปินให้ได้  แล้วบ้านเราทางคุณแม่เป็นคนนครศรีธรรมราช มีปู่ทวดเป็นหมอผีชื่อตาหนูจันทร์ ปรางทอง เป็นเรื่องที่ฝังหัวเรามาตั้งแต่เด็กแต่ไม่เคยได้ไปค้นคว้ามันจริงๆ จังๆ ตอนนั้นเลยได้โอกาสหาข้อมูลเกี่ยวกับท่าน ไปสัมภาษณ์คนที่ท่านเคยรักษา แล้วก็เริ่มเข้าใจว่า จริงๆ แล้ว หมอผี มีความคล้ายกับศิลปินร่วมสมัยอยู่มาก คือพวกเขาต่างเป็นผู้เยียวยาทางจิตวิญญาณ อีกทั้งลักษณะของพิธีกรรม ที่แบ่งเป็นสามช่วงชัดเจน หนึ่งคือ exodus หรือการต้องออกไปจากสถานที่ที่คุ้นชิน ต่อมาขั้นที่สองคือ Manipulating a symbol มีการสร้างสัญญะ อาจใช้หัวกะโหลก รูปเคารพ กระดาษอะไรก็ได้ เอามาเป็นจุดโฟกัสของทุกคน แล้วจึงกระทำการทุบ เผา  เปลี่ยนแปลงยังไงก็ได้ ซึ่งจิตของคนที่เพ่งอยู่กับสิ่งนั้นก็จะเปลี่ยนไปด้วย ส่วนมากจะทำให้เกิดภาวะ Transcendence หรือการเข้าญาณนั่นเอง ส่วนขั้นสุดท้ายคือการพาผู้คนกลับไปสู่พื้นที่เดิมพร้อมด้วยจิตที่เปลี่ยนไป...ทีนี้ย้อนมาที่ศิลปิน เราว่า แกลลอรี่ศิลปะเองก็ถูกออกแบบให้เป็น exodus ของคนทั่วไป มันคือสถานที่ที่เราพร้อมเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ยิ่ง performance artist อย่าง Joseph Beuys, AA Bronson หรือ Marina Abramovic งานของเขามีลักษณะเป็นพิธีกรรมอย่างชัดเจนมากๆ...พอคิดได้แบบนี้เราเลยพยายามหาสิ่งที่เชื่อต่อระหว่างเรากับปู่ทวด ธีสิสทำเป็นพิธีกรรมหมดเลย ทั้งทำบทสวด เล่าเรื่องผี  รวมถึงการอ่านโชคชะตา จนเรามีโอกาสทำไพ่ทาโรต์สำรับแรกของเราที่ลอนดอนด้วย ชื่อ Mystic Empheral Tarot เป็นเด็คที่ไปเอาภาพโฆษณาเก่าๆ ในตลาดมือสองมาคอลลาจกันเป็นไพ่ Major Arcana 22 ใบ" 

คนเราเป็นเหมือนภาพถ่ายโพลาลอยด์ของท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เราเกิด เราจึงมีพลังงานต่างๆ ตามดวงดาวบนท้องฟ้า เราจะเก็บขั้วพลังงานของคืนนั้นๆ ไว้ในตัวเรา

มูเตลู ศิลปะ รูปนู้ด ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยง

“นอกจากการออกแบบไพ่ทาโรต์เป็นสำรับแล้ว โหราศาสตร์ก็ยังมาอยู่ในงานศิลปะเราเสมอๆ ปี2018 เราทำหนังสือรวมลายเส้นและบทกวีชื่อ Eros ก็วางบทตามไพ่ 22 ใบ นิทรรศการเดี่ยวล่าสุด “สรงประภา” ก็ให้นายแบบเลือกไพ่ทาโรต์มาเป็นไอเดียในการโพสต์นู้ด อันที่จริงมันเชื่อมกันหมดนะ อย่างการวาดรูปร่างกายคน

เมื่อก่อนมันจะมีสิ่งที่เรียกว่า The Zodiac Man หรือ ศาสตร์การเข้าใจเรือนร่างผ่านจักรราศี หมายความว่า ร่างกายเราแบ่งออกเป็น 12 ส่วน 12 ราศี หัวคือราศีเมษ คอคือพฤกษก แขนและไหล่เป็นเมถุน มกรคือกระดูกข้อเข่า ฯลฯ  เวลาวาดนู้ดเราก็จะถามราศีของแบบ มาเทียบเคียงและจัดวางท่าเป็นต้น  อันนี้เราว่าคนสมัยโบราณเขามีความรอบด้านกว่าเราเยอะ เรื่องวิทยาศาสตร์, โหราศาสตร์, ศิลปะ, ความเชื่อ, ธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นเรื่องเดียวกัน แต่พอมาสังคมสมัยใหม่คุณต้องเลือกว่าจะเป็นหมอ หรือ ศิลปิน ทุกอย่างเป็นกล่องจำแนกแยกไปหมด" 

แนวทางการดูไพ่ของโอ๊ต (ลูกดวงส่วนมากเป็นวัยรุ่น!)

"ปัจจุบันดูดวงควบคู่ไปกับทำงานศิลปะด้วย ลูกดวงส่วนมากก็คือคนที่มาดูนิทรรศการหรือมาเรียนวาดรูปกับเรานี่แหละ ไม่เคยโฆษณาเลยแต่คิวเต็มตลอด (หัวเราะ) ส่วนมากจะเป็นเด็กวัยรุ่น สมัยนี้พวกเขาค่อนข้างเปราะบางมากๆ เราพูดอะไรก็จะต้องคิดก่อน…คือ การกลับมาดูไพ่ใหม่รอบนี้ เราคิดถึงปู่ทวด เพราะท่านใช้วิชาของท่านในการช่วยคนเสมอ ดังนั้นการดูของเราเลยจะทำเพื่อช่วยคนเหมือนกัน อาจจะเกี่ยวกับที่มีโอกาสไปบวชมาด้วย มุมมองเราก็ต่างไปจากตอนเด็ก เราไม่ยึดติดเรื่องความแม่น เราทำเมตตาภาวนาตลอดเวลาที่ดู สิ่งที่เห็นในไพ่ก็จะหยั่งว่า ควรจะพูดยังไงให้เป็นประโยชน์สำหรับเขามากที่สุด” 

แล้วถ้าจับได้ไพ่ไม่ดีละ?

"ทุกใบมีทั้งบวกและลบ อย่าง Death คนมองว่าน่ากลัว แต่จริงๆ มันพูดถึงการหยุด มันจะไม่มีฤดูใบไม้ผลิได้ ถ้าไม่มีฤดูใบไม้ร่วง ทุกอย่างมันเป็นวงจร ถ้าไม่มีการหยุด พัก มันไปต่อไม่ได้ ถือเป็นนิมิตรที่ดี หยุดก่อน ไม่ต้องรีบ ใจเย็นๆ สิ่งที่ดีสำหรับคุณ คือการพัก หรือ ปล่อยวาง The Tower ทุกคนกลัวมาก คือ อุบัติเหตุ สิ่งที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย แต่เอาจริงๆ มันนำมาสู่การเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางครั้งคนเราไม่กล้าที่จะเปลี่ยน ดังนั้น ทุกอย่าง มันมีทั้งดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่า เราจะทำให้เป็นประโยชน์กับคนอ่านอย่างไร"

การดูดวงคือฮีลลิ่งอย่างหนึ่ง ช่วยเยียวยา ซึ่งใช้พลังงานเยอะมาก  เวลาสอนวาดรูป เรียนเสร็จคนก็จะมารอดูไพ่

Queering the Tarot

"ถ้าพูดเรื่องเทคนิค ล่าสุดนี้เราสนใจการอ่านไพ่แบบ Queering the Tarot คือการโยงไพ่เข้ากับสถานการณ์ของชาว LGBTQ+ โดยเฉพาะ เป็นหลักการที่เราศึกษาจากคุณ Cassandra Snow ซึ่งเขาสอนให้ตีความไพ่ออกจากขนบและกรอบเพศที่เราคุ้น อาทิ ไพ่ราชินี (The Empress) อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นเพศหญิง มันแค่สื่อถึงขั้ว feminine ซึ่งอาจจะคนเพศกำเนิดชายที่เป็น “ขุ่นแม่” ก็ได้ หรือไพ่สังฆราช (Hierophant) ที่ถ้าอ่านให้ชาว LGBTQ+ อาจจะมีความหมายทางลบมากกว่าบวก เนื่องจากพวกเราเป็นกลุ่มที่มักจจะโดนศาสนากดขี่เสมอๆ เป็นต้น 

การดูดวง กับ LGBTQ+

"แน่นอนว่ากะเทยกับการมูเตลูเป็นสิ่งคู่กัน! (หัวเราะ) เนื่องจากพวกเราเป็นคนชายขอบ ย่อมจะหาที่ทาง สร้างความชอบธรรมให้ตัวเองอยู่แล้ว ถือเป็นการป้องกันตัวเองจากการโดนรังแกด้วย แต่เราก็เชื่อด้วยว่า คนที่มีความลื่นไหลทางเพศมักมีพลังพิเศษ มีพลังงานขั้วชายและขั้วหญิงในร่างเดียวกัน เซ็นท์ซิทีฟมากกว่าคนทั่วไป สัมผัสได้มากกว่าคนทั่วไป ในอเมริกันเรียกว่า Two Spirit People, ที่คิวบา, อินเดีย, อินโดนีเซีย, เขมร, พม่า และไทยก็เช่นกัน ถ้าไปศึกษามานุษยวิทยาจะเห็นว่าพวกเราเป็นกลุ่มคนที่เคยได้รับการเชิดชูบูชาในวัฒนธรรมโบราณ แต่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สังคมปิตาธิปไตยกลัว การพัฒนาของสังคมชายเป็นใหญ่เกิดขึ้นพร้อมกับการกดพวกเราทั้งในแง่สังคม กฎหมาย ริดรอนสิทธ์ของความเป็นคน ในแง่ศาสนาทำทำให้เรารู้สึกผิดประหลาด เราเองเลยอยากให้พลัง (Empower) ชาวเราในจุดนี้เท่าที่จะทำได้ เราทำแกลเลอรี่แสดงงานศิลปิน LGBTQ+ โดยเฉพาะ, ทำกลุ่ม “เกย์ ทาโรต์ รีดเดอร์ GAT TAROT READER THAILAND” ไว้แลกเปลี่ยนเคสการดูดวงด้วย”

ความรัก กับ หมอดู

"ในฐานะเกย์คนหนึ่ง เคล็ดลับของการมีชีวิตคู่ที่ยืนยาวคือการดูดวงนะ กล่าวคือ แฟนเป็นคนราศีกุมภ์ ธาตุลม ไม่ชอบตั้งความหวัง ไปตามลม อิสระสำคัญมาก ส่วนเราราศีมังกร ทุกอย่างคือกรอบ มันคือ การสร้างเป้าหมายแล้วไปให้ถึง อยากได้อะไรก็ขอจากจักรวาล ซึ่งตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง พอดูดวงเราก็จะไม่พยายามเปลี่ยนกันและกัน ต่างคนต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน เราไม่ได้ดูแค่ราศี เราดูถึงลัคนา วิธีการสื่อสารของเขา พอจูนเข้าหากันมันเลยง่าย แต่พอเริ่มนอยด์ก็จะเดินออกมาให้พื้นที่ของกันและกัน"

เราอยากให้ภูมิใจและหันกลับมาฮีลตัวเองให้ได้ อย่ากลัว อย่ายอมให้โดนกดโดยความกลัว ทั้งคนอื่นและตัวเราเอง

ในอนาคตคุณจะได้เจอกับ...

"กำลังทำไพ่สำรับใหม่อยู่ เตรียมกดพรีได้เลยที่เพจ oatmontienstudio นอกจากนี้ในคืนจันทร์เพ็ญเดือนมีนาคม เราไปออกแบบ performance ร่วมกับโรงแรม Anantara ที่สมุย เป็น Fullmoon Ritual ที่เชื่อมโยงพลังงานของพระจันทร์ ผ่านอาหาร Fine Dinning และการวาดรูปใต้แสงจันทร์  ซึ่งเป็นการทำงานที่สนุกมาก ได้ทำงานกับเชฟเพื่อออกแบบอาหาร ตามคอนเซปท์และขั้นตอนในพิธีกรรม เช่นการละทิ้งร่างเก่าเข้าสู่ร่างใหม่ เชฟก็แนะนำอาหารที่มีเปลือก สามารถลอกคราบได้ หรือช่วงที่เราทำการเผาเพื่ออธิฐานจิต  เชฟก็จะเสิร์ฟอาหารที่ย่างเกรียมให้ผู้ชมด้วย ถ้าใครสนใจเรื่องการตีความเป็นแม่มดในบริบทศิลปินร่วมสมัย งานนี้ห้ามพลาดเลย”

Oat Montien may be known primarily as an artist, writer, and art teacher, but what most people didn’t realize is that he’s also a tarot card reader. “Actually, I was a fortune teller before I was even an artist. I’ve been passionate about tarot card reading since I was nine!” he says with a laugh. How does the multi-talented artist become interested in tarot cards and magic at such a young age? Let’s find out!  

“When I was taking lessons at the Thailand Astrology Association, they would take me out to all these functions where I would earn 200 baht for every person that did a reading. I was only nine then.”

What drew you to tarot card reading?
"It’s hard to say what made a nine-year-old want to learn how to read tarot cards. I went to the Thailand Astrology Association all by myself to apply for the course where I would eventually spend most of my weekends at. After that, I decided to undergo a krob kru ceremony because I believe in superstition and spirituality. My family sort of influenced me as well. The idea that a thin piece of paper can possess magical power was so amazing to me. When I was younger, my friends were all obsessed with Yu-Gi-Oh! and Magic: The Gathering trading card games, but I loved Summoner Master because it’s inspired by tarot cards. It made me want to learn more about the symbols on those cards.”

Tarot Cards are a reflection of the universe
"Having learned about astrology and Greek mythology, I could see and understand all the details hidden in the Rider Waite Smith Tarot Deck. For example, sun in The Sun, venus in The Empress, and mercury in The Magician. Not to mention all these places and characters from illustrator Pamela Colman Smith – Winchelsea cemetery in 4 of Swords, Falstaff from Shakespeare in 9 of Cups. Each has a deeper meaning to it. I don’t see the cards as being sacred, but I believe that they connect us with the universe and its energy through the designs of the 78 Archetypes reflecting earth, water, wind, fire, male, female, and everything in between.”

A turning point
“There was this period of time when I did a lot of readings and most of my predictions turned out to be right. I once told someone that they would get into an accident and they actually did. I’m not a fortune teller who usually gives advice on how to quell bad fortune so, after that incident, I felt a bit helpless. Reading felt kind of useless to me so I decided to stop for a while." 

Returning to roots
"I got back into tarot reading when I went to do my master’s in the UK. The nature of art school has a lot to do with psychoanalysis. Students have to find their own essence as an artist. My mom is a Nakhon Si Thammarat native and our great grandfather was a shaman who healed people when he was alive. When I interviewed people who were healed by him, I started to realize that shamans and contemporary artists are both a healer. Our process follows the same ritualistic steps. First, it’s the exodus, followed by the manipulation of a symbol that brings about transcendence. Performance artists like Joseph Beuys, AA Bronson or Marina Abramovic all share the same ritualistic elements. My thesis focused really heavily on rituals and ceremonies. While in London, I also created my first tarot deck called ‘Mystic Empheral Tarot,’ a collage made of these old print ads I found in a flea market.” 

“We’re like a polaroid photo taken on the night we were born. That’s why we possess the same energy as the stars above us.”

Mu-te-lu, art, and nude portraits
“Besides tarot cards, astrology has always been present in my art. In 2018, I put out a book of sketchings and poems called ‘Eros’ based on the 22-card deck. In my latest solo show, I also created a series of nude portraits based on tarot cards. If you look at the Zodiac Man, you’ll see how the human body is divided into 12 body parts with corresponding zodiac signs. I think the knowledge and wisdom of ancient people were a lot more encompassing and interconnected than ours.”

Your approach to tarot card reading
“Most of my clients are the same people who come to see my shows or take drawing lessons from me. Most of them are sensitive teenagers so I have to be extra careful about what I say to them. It’s my goal to help people so I try to tell them things that will benefit them the most based on the cards they choose.” 

What happens when they pick bad cards?
"Every card has both positive and negative sides to it. Most people are scared of the Death card, but it only suggests some sort of pause. For there to be spring, there has to be fall. Everything is a never-ending circle. Another card people fear is Tower, but it actually suggests change and transformation."

Queering the Tarot
"Lately, I’ve been interested in this reading technique called ‘Queering the Tarot’ created by Cassandra Snow who deconstructs the meanings of the 78 cards and reinterprets them outside the norms and within the context of LGBTQ+. For example, the Empress doesn’t always have to suggest a female, but feminine energy. Likewise, the Hierophant doesn’t always mean something positive for us queer people as we’re usually the group that gets oppressed by religion.”

Fortune-telling and LGBTQ+
"As gay people, we’re made for mu-te-lu (laughs). It’s natural for marginalized people like us to seek validation and protection. I also believe that people who are more fluid in their sexuality possess a special power because they have both masculine and feminine energies. For example, Two Spirit people in North America’s Indigenous communities. These people were once respected, idolized, and celebrated until patriarchy took over and oppressed them. The reason I run a gallery exclusive for LGBTQ+ artists and a group called Gay Tarot Reader Thailand is because I want to do my part in supporting and empowering them.”

Love and fortune-telling
"As a gay person, I believe that fortune telling is a secret to a lasting relationship. My partner is an Aquarius. He’s a wind element so he’s very spontaneous and values freedom. As a Capricorn, I’m more of a planner and I like to set goals and achieve them. But even though we’re the complete opposite, we don’t try to change each other. I observe his ascendant and try to tune into how he communicates. Whenever there’s any kind of tension, we know to step away and give each other some space.”

The definition of Oat Montien
"Whether through fortune-telling, rituals, art, or writing, I want to be a gate guardian, a vessel for the higher power to transmit to earth. I want to be a reminder that we are all fragments from the same star.”