Life

ชมเครื่องรางสุดปังของขลังสุดชิค พร้อมพูดคุยกับคนสายมูฯ

เครื่องรางของขลังเป็นสิ่งที่อยู่คู่สังคมมนุษย์มาโดยตลอดตั้งแต่บรรพกาลและปรากฏอยู่ในทุกอารยะธรรมของโลก โดยจุดมุ่งหมายของมันก็จะคล้ายๆ กันนั่นคือปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่จากภัยอันตรายในรูปแบบต่างๆ หรือบรรดาลให้เกิดโชคลาภ จนไปถึงสมหวังในความรัก แม้ว่าปัจจุบันที่ยุคสมัยได้เปลี่ยนไป บทบาทของเครื่องรางยังคงอยู่คู่สังคมมาโดยตลอด ในบางประเทศ เครื่องราวเหล่านี้ได้กลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาล ผ่านการดีไซน์รูปร่างหน้าตาให้ตอบโจทย์กับยุคสมัย จนไม่ได้มีแค่ความขลังแต่บวกพลังความปังปุริเย่เข้าไปจนกลายเป็นเครื่องประดับสุดชิคที่หลายๆ คนใส่เป็นสินค้าแฟชั่น ดังเช่น แบรนด์ Leila Amulets ที่สายมูฯ ยุคนี้พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เพราะนอกจากจะถูกดีไซน์ให้ดูดีมีราคาน่าสวมใส่แล้ว ยังเป็นของขลังที่มาจากวัดดังๆ ที่หลายคนรู้จักดีอีกด้วย ซึ่งทาง EQ ก็ได้มีโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกับลูกค้าสองท่านที่เคยใช้บริการกับแบรนด์นี้กันมาบ้างแล้ว

คนแรก เอิร์ธ - กองทัพ ศรีเส็ง นักศึกษาวัย 20 ปี เจ้าของตระกรุดเซียนตัดเซียน และสีผึ้งครูบากฤษณะ เมื่อถูกถามว่าจากประสบการณ์ที่ใช้ ตัวไหนที่ได้ผลบ้าง หนุ่มเอิร์ธตอบว่าเขาไม่แน่ใจนักในเรื่องของสีผึ้ง เนื่องจากไม่ได้ตั้งใจใช้เพื่อผลลัพธ์โดยเฉพาะเจาะจงใดๆ แต่เพียงแค่ต้องการสร้างความมั่นใจให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่นมากกว่า ทางเราจึงสรุปกันเองว่า ตัวนี้น่าจะขายดีในหมู่คนขี้อายแน่นอน และเมื่อเราถามถึงตระกรุดเซียนตัดเซียน หนึ่งในสินค้าขายดีของแบรนด์ เอิร์ธเชื่อว่ามันให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากกว่า

 “ตระกรุดตัวนี้ผมลงทุนไป 3,900 บาทซึ่งก็ถือว่าราคาแรงอยู่สำหรับคนที่ยังไม่มีรายได้ แต่หลังจากที่ได้มาผมถูกล๊อตเตอรี่ไปทั้งหมดแปดใบ ผมก็เชื่อว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าแหละครับ แต่ว่าหลังจากนั้นก็ไม่กล้าเสี่ยงโชคครั้งใหญ่ๆ แบบนั้นอีกเลย ถึงแม้จะยังมีโชคเล็กๆ น้อยๆ อยู่เรื่อยๆ ก็ตาม”

ส่วนคุณ โต้ง - ธนพัต ภูรีวัฒนะ (@tongbboy) พนักงานโรงแรมวัย 37 ปี ซึ่งโดยส่วนตัวเขาเองก็ได้พกพา ”แร่เกาะล้าน” ซึ่งเป็นเหล็กไหลที่ได้รับจากครอบครัวให้พกติดตัวเพื่อป้องกันภัยอันตรายมาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งประสบปัญหาด้านการเงินจึงเป็นที่มาของการเสาะแสวงหาเครื่องรางนำโชคทางด้านนี้ โต้งกล่าวว่าเขาเองไม่ถึงกับแน่ใจในอานุภาพของมันนักเพราะเขาใช้มันเพียงเพื่อต้องการสร้างความรู้สึกอุ่นใจให้ตัวเองว่าอยู่กับพลังงานบวกตลอดเวลา และถึงแม้ว่าในที่สุดฐานะทางการเงินของเขาดีขึ้น โต้งก็ยังไม่กล้ายืนยันว่าเป็นเพราะเครื่องราง เมื่อเราถามว่าทุกวันนี้ที่ใช้หลักๆ เป็นประจำมีทั้งหมดกี่ชิ้นรวมถึงแร่เกาะล้านที่ใช้มาตลอด เขาแจกแจงให้ฟังว่ามีอีก 3 ชิ้น ซึ่งครั้งแรกที่เหยียบเข้าร้าน Leila Amulets เขาได้เช่ามาบูชาทั้งหมด 2 ชิ้น คือตระกรุดเศรษฐียกฐานะ และแมลงภู่คำหลวง และเมื่อได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียนร้านอีกครั้งเขาได้เลือกเช่าตระกรุดที่มีอานุภาพไปทางเมตตามหานิยมมาอีกชิ้น และครั้งหนึ่งเมื่อได้มีโอกาสแวะไปแถวท่าพระจันทร์ก็ได้ไปถอยสาลิกาลิ้นทองมาบูชา เมื่อเราสอบถามถึงอานุภาพของสองชิ้นหลังว่าได้แสดงอานุภาพอย่างไรให้ประจักษ์บ้าง โต้งตอบว่าเขาไม่ได้เช่ามาเพื่อจุดประสงค์ให้คนมารักมาชอบโดยตรงเพราะเป็นคนมีสังคมค่อนข้างกว้างขวางอยู่แล้วแต่เลือกเพราะสีที่ถูกโฉลกกับวันเกิดของตัวเองจึงใช้เป็นเครื่องประดับมากกว่า 

“ด้วยความที่ดีไซน์เครื่องรางหรือวัตถุมงคลสมัยใหม่สามารถตอบสนองในเชิงแฟชั่น ทำให้ผู้สวมใส่ไม่รู้สึกเคอะเขินเวลาสวมออกจากบ้าน รวมทั้งราคาก็ไม่ถึงกับแรงเกินไปทำให้ผมเองก็ยังมองหาชิ้นต่อๆ ไปอีกเพราะสามารถสวมใส่ในโอกาสต่างๆ รวมถึงสร้างความมั่นใจในช่วงเวลาที่เรามีความต้องการนั้นๆ ทำให้มองว่าตลาดนี้ยังมีทางขยายและเติบโตต่อไปในกลุ่มคนยุคใหม่แน่นอนครับ”

นอกจากเครื่องรางแบบที่เราคุ้นเคยกันมาตลอด ณ ปัจจุบันมีเครื่องรางที่ถูกพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งไม่ได้มีไว้ป้องกันภูติผีปีศาจหรือของมีคม แต่มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่มาพร้อมกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเทคโนโลยีและ Wi-Fi และผู้ให้ข้อมูลแก่เราคือ คุณนาบี ศิลประธีป (@nabitang) นางแบบสุดชิคที่เริ่มผันตัวเองไปเป็นตากล้องและนักแสดงอินเตอร์ คุณเสื้อ (มาจากผีเสื้อ) ได้ให้ข้อมูลแก่เราว่า เธอได้ศึกษาข้อมูลเรื่อง Electromagnetic field หรือ EMF ซึ่งก็คือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยคลื่นแม่หล็กออกมารอบตัวเราและปัจจุบันผู้คนเริ่มเชื่อกันอย่างแพร่หลายขึ้นเรื่อยๆ ว่าหากเราอยู่ใกล้คลื่นแม่เหล็กเป็นระยะเวลานานๆ จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งและอีกหลายๆ โรค รวมไปถึงโรคสมาธิสั้นในเด็กอีกด้วย ซึ่งในฐานะที่เป็นแม่ของเด็กวัยกำลังโต นางแบบสาวสวยวัย 34 ปีของเราจึงได้เสาะแสวงหาสิ่งที่คอยปกป้องเธอและลูกจากคลื่นแม่เหล็กที่อยู่รอบตัวเราตลอดเวลา จนกระทั่งเธอได้พบวัตถุมงคลชิ้นนี้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่เธอต้องการทุกประการ เพราะนอกจากจะมีดีไซน์ที่สวยเป็นเอกลักษณ์แล้ว ความเด็ดคือทุกชิ้นจะผ่านพิธีมงคลเพื่อปลุกเสกเพิ่มอานุภาพโดยนักบวชชาวบาหลีเป็นผู้สวดในพิธีกรรม สาเหตุที่เป็นที่บาหลีเพราะเสื้อบอกว่าสังคมที่นั่นจะมีความเป็นจิตวิญญาณสูงแต่จะเป็นในแบบ new age ซึ่งหมายถึงการรวมเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ด้วยกัน

“ที่เสื้อเชื่อเพราะว่าได้อยู่ดูตอนที่เค้าเริ่มออกแบบพัฒนาเครื่องรางรุ่นที่3นี้ตั้งแต่ต้น เห็นผลการทดลองตรวจโมเลกุลเลือดของผู้ใส่ว่าก่อนและหลังใส่เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ว่าเลือดมันจะไม่จับตัวแน่นกันเวลาเราใส่เครื่องรางต่อให้เราเล่นมือถืออยู่ แต่จะมีสภาวะที่ flow เนื่องจากมีออกซิเจนมีอยู่เยอะ ในขณะที่ถ้าเราไม่ได้สวมเครื่องราง โมเลกุลของเลือดจะมีสภาวะที่หนาแน่นติดกัน จนหนืด ไหลเวียนช้า และนั่นเป็นที่มาของความเจ็บป่วย โรคภัยต่างๆ” 

เมื่อเราถามถึงความรู้สึกเวลาที่สวมใส่ว่าแตกต่างไหม เธอตอบว่า “รู้ตลอดเพราะเมื่อก่อนเราอยู่ไทย และแฟนเก่าอยู่บาหลีโดยเราบินไปหาเขาบ่อยๆ ทุกครั้งที่เดินทางเราจะมีอาการ jet lag แต่พอได้จี้นี้มาพบว่าอาการพวกนี้มันหายไป และนอกจากคลื่นแม่เหล็กแล้ว เรารู้สึกว่ามันปกป้องพลังงานเราด้วยในแง่ของสุขภาพจิต ปกติเราเป็นคนที่ค่อนข้างจะเซ้นซิทีฟต่อสิ่งรอบตัว ใครโจมตีทางความคิดเราก็รู้สึกแล้ว แต่ช่วงนั้นเราชิลมากเลยซึ่งพอไปคุยกับคุณฮวนคนออกแบบและคุณดอนผู้คิดค้น เค้าบอกว่าวัสดุที่ใช้ทำจี้อันนี้มีแร่ 5 ชนิดที่เรียกว่า Pance Datu (โลหะศักดิ์สิทธิ์ทั้ง5) ซึ่งคนบาหลีและอินเดียเค้าจะนำมวลสารนี้ไว้ที่พื้นตอนที่เค้าจะสร้างวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทำพิธีสวด พอจบพิธีเค้าก็สร้างวัดโดยทับแร่เหล็กนี้ไปเลยค่ะ แล้วจี้พวกนี้เค้าใช้ Pance Datu ทำขึ้นมา แล้วเอาเข้าพิธีกรรมโดยมีนักบวชบาหลีเป็นผู้สวด” 

สำหรับใครที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องรางชิ้นนี้ เธอฝากลิ้งค์มาให้ชาว EQ ด้วยนะ https://www.youtube.com/watch?v=Ur5RlucYmEE และเว็บไซต์ https://www.chiorganizer.com/ เมื่อเราเห็นว่ามีแบบตลับด้วยเลยสงสัยว่ามันแตกต่างกับอันที่เป็นจี้ยังไง  “ความรู้สึกของเสื้อคืออันใหญ่ที่เหมือนตลับเซเลอร์มูนมีประสิทธิภาพมากกว่าแต่มันหนักและใหญ่มาก ต้องพกใส่กระเป๋า เวลาใช้ต้องชาร์จ ส่วนจี้อันเล็กเราใส่ถ่านนาฬิกาซึ่งถึงถ่านจะหมดไปนานแล้วก็ยังรู้สึกถึงประสิทธิภาพของมันค่ะ”

ก่อนหน้านี้หลายๆ คนคงเคยได้เห็นปรากฏการณ์ของกำไลหินธิเบตและเราเชื่อว่าหลายๆ คนที่กำลังอ่านอยู่นี้อาจจะมีไว้ในครอบครองด้วย เราสงสัยมานานแล้วว่าแต่ละคนมีประสบการณ์กับมันอย่างไร วันนี้เราเลยได้มีโอกาสคุยกับ แป้ง - ณัฏฐนันท์ ศิริสรณ์ พนักงานต้อนรับที่ศูนย์บำบัด Orion ณ เกาะพะงัน ผู้ชื่นชอบสะสมกำไลหินมากและมีหลากหลายประเภท ทั้งซื้อมาและร้อยใส่เอง เธอพยายามแจกแจงให้เราฟังว่าหินแต่ละชนิดส่งผลต่อเราอย่างไรบ้าง แต่เราพุ่งไปที่เรื่องเดียวเลยว่า เคยขอให้ประสบความสำเร็จในความรักไหม!? แป้งอึ้งและมีท่าทีขวยเขินเล็กน้อย ก่อนจะแชร์กับเราว่า “ก่อนหน้านี้ก็ใช้โรส ควอร์ซ หรือหินสีชมพู ซึ่งเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นตัวแทนแห่งความรัก แล้วก็มีมูนสโตน จะเป็นสีขาว ที่ใครๆ เรียกว่าหินพระจันทร์ จะส่งพลังที่ช่วยขับเน้นพลังงานเพศหญิง แป้งก็ใช้ตอนที่ยังอยู่ในช่วงเสาะแสวงหาความรัก เหมือนที่คนอื่นๆ ใช้เพื่อให้โชคดีในเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่ต่อมาเมื่อแป้งได้เริ่มสนใจนั่งสมาธิกับคลื่นเสียงและหินประกอบกัน แป้งเริ่มที่จะคอนเนคกับจิตวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ แป้งเองไม่อยากจะพูดว่ามันเปิดตาที่สามหรืออะไรแบบนั้น แต่ความรู้สึกของเรามันจะสัมผัสได้เองว่าวันนี้เราควรจะเลือกนั่งสมาธิกับหินตัวไหนซึ่งแป้งก็จะใส่เขาไว้ตลอดวันด้วย และสุดท้ายแป้งก็จะเหลือเพียงสองเส้นที่ใส่สลับกัน นั่นคือ ซุปเปอร์เซเว่น กับลาบราดอไร้ต์ ซึ่งเป็นหินที่ให้พลังงานในด้านจิตวิญญาณมากกว่าที่จะเน้นความรักในเชิงหนุ่มสาวเพียงอย่างเดียว”

เมื่อเราถามว่าแล้วประสบการณ์และวิธีการใช้เป็นอย่างไร แป้งตอบว่า “แป้งมักจะใช้โดยการกำซุปเปอร์เซเว่นกับลาบราดอไร้ต์ไว้ข้างละเส้นและฟังคลื่นเสียงในระดับสูงกว่า 900 เมกะเฮิร์ต ซึ่งมันให้ประสบการณ์ที่เกิดแรงสั่นสะเทือนเร็วกว่าจากประสบการณ์ที่แป้งเคยนั่งสมาธิด้วยการบวชแบบเนกขัมมะที่ต้องถือศีลแปดและปิดวาจาอีก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกราวกับมีน้ำราดรดลงมาบนศีรษะ หรือพบว่าตัวเราที่แท้จริงเป็นแสงแต่มีร่างกายห่อหุ้มอยู่ หรือว่าได้รับข้อมูลความรู้มหาศาลเกี่ยวกับจักรวาลในขณะที่อยู่ในสมาธิ แป้งเชื่อว่ามันเป็นเพราะการที่เราได้ทำงานกับแรงสั่นสะเทือนของหินและคลื่นเสียงโดยตรงกับร่างกายของเราซึ่งประกอบไปด้วยน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก เลยทำให้เกิดประสิทธิภาพชัดเจนกว่า” 

ในด้านความรักนั้นก็ยกระดับขึ้นไปเป็นมีประสบการณ์ที่ได้พบกับเนื้อคู่ทางจิตวิญญาณ หรือ Twin flames ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าตื่นเต้นมากมายที่เราไม่อาจยกมาเล่าได้ในบทความนี้

ส่วนดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีความเชื่อหลากหลายอย่างเกาะพะงัน สิ่งหนึ่งที่แทบทุกคนต่างมีร่วมกันคือ ความเชื่อที่ว่าเพราะเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยแร่โรส ควอร์ซ ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปจริงๆ ไม่ว่าจะตามหาดหรือถนนหนทาง และยังฝังอยู่ใต้ดินและหินก้อนใหญ่ จึงทำให้ทุกคนที่อาศัยอยู่บนเกาะต่างพากันได้รับแรงสั่นสะเทือนนี้กันถ้วนหน้า 

เราจึงออกดั้นด้นตามหาคนพะงันแท้ๆ ที่มีเจ้าคริสตัลจากเกาะพะงันไว้ในครอบครองจนได้มาพบกับคุณชิก้า - นิภาพร เรือนแก้ว เจ้าของร้านอาหารวีแกนแห่ง Chikalicious ร้านดังแห่งศรีธนูซึ่งเป็นย่านโรงเรียนโยคะของเกาะ ชิก้าเล่าว่า ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ได้มีความรู้ทางจิตวิญญาณอะไรมากมายแต่เมื่อราว 6 ปีที่แล้ว เธอได้เริ่มเรียนโยคะและได้เข้าใจว่าคลื่นพลังงานจากจักระหัวใจสามารถทำอะไรได้บ้าง ซึ่งจักระนี้จะมีชื่อเรียกว่า อะนาหถะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอถึงกับตื่นตะลึงที่ได้พบว่ามันคือจุดศูนย์กลางที่ได้เชื่อมโยงตัวเธอกับทุกสรรพสิ่งเ