Identity

"PHISUNEE" ปลุกความเป็นชาย ให้โฉบเฉี่ยวมีสไตล์ ด้วยเสื้อผ้าผู้หญิง แบบไม่อิงเรื่องเพศ!

"ความหวังสูงสุดของผมคือ ผมอยากเห็นผู้ชายใส่กระโปรงแล้วกลายเป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และถ้ามันถูกเผยแพร่ออกไปต่างประเทศแล้วแมส แล้วมาจากชื่อผม ผมจะซาบซึ้งมากๆ นี่คือ ความฝันที่ยิ่งใหญ่ของผม"

นี่คือคำกล่าวอันหนักแน่น และแน่วแน่ในเจตนารมณ์ของ ‘ไดม่อน’ – เจตน์ตุรงค์ ลอยใหม่ หนุ่มชัยภูมิ วัย 26 ปี ผู้หลงใหล และชื่นชอบการแต่งตัวสไตล์วินเทจตั้งแต่อายุ 16 ปี จนเกิดจุดเปลี่ยน และแรงบันดาลใจในการแต่งตัวรูปแบบใหม่ที่ต่างออกไป คือ 'ใส่เสื้อผ้าผู้หญิงแบบเต็มสตรีม' โดยเขามีความหวัง และความฝันว่า สักวัน..เขาจะเห็นผู้ชายแท้ใส่เสื้อผ้าผู้หญิงได้แบบไม่ต้องเขินอาย และกลายเป็นเรื่องปกติ จนเกิดเป็นแพชชั่น และออกมาในรูปแบบของแบรนด์เสื้อผ้า ‘PHISUNEE’ แบรนด์เสื้อผ้า Unisex ที่มุ่งหวังอยากให้ชายแท้หลุดออกจากกรอบการแต่งตัวแบบเดิมๆ ให้สนุก และกล้าที่จะแต่งตัวอย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

จากสายแฟฯ วินเทจสู่การแต่งหญิงแบบจัดเต็ม!

แต่ก่อนแต่งวินเทจสายลึก ผมเคยหนักเยอะสุด 78 กก. ปัจจุบันเหลือ 56 กก. ส่องกระจกกลับไปแต่งแนววินเทจแล้วไม่ได้ แต่งออกมาไม่สวย เลยหาแรงบันดาลใจในการแต่งตัวใหม่ แล้วก็ลองเอากระโปรงมาใส่ สรุปมันเขากับตัวเรา สามารถตัดสินใจได้เองเลยว่าเท่ หรือดูดี ผ่านสายตา และการส่องกระจกของเรา มันรู้สึกไม่แปลก และเท่ซะด้วยซ้ำ ผมไม่ได้ฟังเพลงสากล ไม่ได้มีแรงบันดาลใจมาจากใครเลย มันเริ่มจากเห็นกระโปรงเอวยางยืดในเพจ ราคา 200 กว่าบาท แล้วไซส์เราใส่ได้ เลยซื้อมาใส่แล้วชอบ รู้สึกเท่ จากกระโปงยาว ก็เปลี่ยนเป็นสามส่วน, กระโปรงสั้น, เสื้อสายเดี่ยว, เปิดหลัง, แหวกแขน ตอนนั้นสนุกมาก แล้วเสื้อผ้าผู้หญิงถูกกว่าผู้ชาย สองพันผู้ชาย กับผู้หญิงต่างกันนะครับ ของผู้ชายอาจได้กางเกงยีนส์แค่ตัวเดียว แต่ผู้หญิงได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมมีทอนด้วย

“วันแรกที่แต่งหญิงออกไปตื่นเต้นมาก ถามว่าเขินไหม เขิน ซึ่งผมว่า ทุกเรื่อง ถ้าเป็นครั้งแรกมันตื่นเต้นอยู่แล้ว ถึงแม้จะมีคนมองเยอะ มองบวก หรือลบก็ช่างเถอะ สำหรับผม เราแต่งตัวเพื่อให้คนมองถูกแล้วครับ เพราะกูเท่สิ เขาถึงมอง” 

จุดเริ่มต้น และแรงบันดาลใจแบรนด์ ‘PHISUNEE’

ผมชอบใส่กระโปรง แล้วพี่แถวบ้านเขาพูดขึ้นมาว่า 'ชอบใส่ทำไมไม่ผลิตเองเลยล่ะ…ผลิตให้ผู้ชายใส่' เราเลยฉุกคิดขึ้นมาว่า จะไปซื้อของคนอื่นทำไม ก็เอาตัวเองเป็นตัวกระจายสินค้าไปเลยสิ ซึ่งความคิดนี้มันเกิดขึ้นตอนปลายปี 2021 แล้วผมได้มาทำแบรนด์จริงๆ ช่วงหลังบวช ซึ่งมีอยู่วันหนึ่งผมไปสัก ใช้เวลาสักประมาณ 4-5 ชั่วโมง แล้วผมเอาเรื่องแบรนด์ไปคุยกับช่างสัก ซึ่งเขาเป็นคนออกแบบ โดยเอาความคิดที่ผมถ่ายทอดมาไปออกแบบให้อีกที เราคุยกันระหว่างสักแล้วเขาช่วยเหลือเรา ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบคือ ช่างสักผมเอง 

“ชื่อ PHISUNEE ได้มาจากการบวช ซึ่ง PHISUNEE คือ ผู้หญิงใส่ผ้าเหลืองครับ มันอยู่ระหว่าง PHISU ผู้ชาย - NEE ผู้หญิง ผมรู้สึกว่าชื่อนี้เข้ากับแบรนด์เรา ซึ่ง PHISUNEE เขาไม่ได้ถูกยอมรับในประเทศไทย มันก็เหมือนกับผมที่ไม่ได้ถูกยอมรับในสังคมสักเท่าไร”

ผมเริ่มลงมือทำคอลเลกชั่นแรกช่วงมกราคมปี 2021 คือ 'กระโปรงยาว' เพราะรู้สึกว่า ผู้ชายใส่ได้ ไม่เขินแน่ มันเป็นจุดสตาร์ทของผู้ชายที่จะเริ่มใส่เสื้อผ้าผู้หญิง รู้สึกว่าน่าสนใจ และง่าย เราทำออกมาเป็นสีดำให้ยาวหน่อยเพื่อให้ใส่แล้วดูไม่เขิน เพราะตัวผมเองก็เริ่มแต่งจากกระโปรงยาวเหมือนกัน เป็นกระโปรงพลีท ตัดเฉลียงออกมาแบบเท่ๆ พริ้วๆ ใช้เวลาทำไม่นาน เพราะผมเล่นเสื้อผ้ามือสองอยู่แล้ว มีอิงแบบมาจากสไตล์เสื้อผ้ามือสองนิดหน่อย จากดีเทลของสิ่งที่เราชอบ แล้วเอามายำรวมกัน ถ้าถามว่าแบรนด์ผมต่างจากแบรนด์อื่นไหม ตอบว่าไม่ต่างครับ แต่สิ่งที่ต่างคือ การนำเสนอ ผมทำมาจนถึงตอนนี้ก็ 2 ปีแล้วครับ

“ผมซื้อกระโปรงยาวใส่ตั้งแต่กลางปี 2021 เริ่มใส่ครั้งแรก 8 กันยายน แต่ตอนนั้นไม่มีใครใส่เลย ตอนนี้เห็นเยอะขึ้น ผมเริ่มอัพเกรดตัวเองด้วยการใส่กระโปรงสั้น ซึ่งมันแมทช์กับถุงเท้า รองเท้า แล้วมันดูสวย น่ารัก มันทำให้ดูมีดีเทลเพิ่มขึ้นมา ที่ผมยังไม่กล้าใส่ตอนนั้นเพราะเขิน ด้วยความที่เราไม่ใช่มนุษย์บ๊อกเซอร์ ผู้หญิงใส่กระโปรงมีสเตย์ แล้วผู้ชายใส่อะไร ผมก็ตามหาสิ่งนั้น แต่สุดท้ายมันก็คือ บ๊อกเซอร์ ทุกวันนี้เลยแทบไม่แตะกระโปรงยาวเลย”

นิยามการแต่งตัวแบบ PHISUNEE

‘Cross Dresser’ คือ ผู้ที่หลงใหลเสื้อผ้า หรือแฟชั่นเพศตรงข้าม แต่เขาไม่ได้เป็นเพศๆ นั้น ผู้หญิงที่ใส่ชุดผู้ชายก็เรียก Cross Dresser เหมือนกัน แต่ที่เขาไม่โฟกัสเพราะ เป็นเรื่องปกติ ซึ่งคนที่ชอบสไตล์นี้คือ แค่ชอบแต่ไม่ได้อยากจะเป็น ผมแค่ชอบเสื้อผ้าผู้หญิง แต่ไม่ได้อยากเป็นผู้หญิง ผมอยากเป็นผู้ชายครับ พอได้มาแต่งเสื้อผ้าผู้หญิงแล้วรู้เลยว่า ผู้ชายไทยชอบใส่เสื้อผ้าผู้หญิงเยอะมาก แต่เขาไม่กล้าแต่ง เพราะเขาไม่มีไอค่อนที่ให้แต่งตาม และดูเป็นตัวอย่าง แต่งไปก็จะโดนว่า แต่พอผมเริ่มแต่งก็เห็นคนเริ่มกล้ามากขึ้น ผมก็ดีใจ บางคนมาซื้อของผมแต่เขาไม่สามารถใส่ได้ เพียงเพราะต้องการช่วยซัพพอร์ตเรา เพื่อให้เราทำต่อไป ซึ่งมีแบบนี้หลายคนมาก มันเลยเป็นพลังบวกที่อยากให้ผมทำต่อไป แล้วผมก็บอกพวกเขากลับไปว่า ไม่ต้องกังวลว่าผมจะหยุดทำ เพราะผมทำต่อไปแน่นอน เพื่อตัวผมเอง เพื่อคุณ และเพื่อประเทศไทยในอนาคตมันจะถูก develop เรื่องนี้ ให้เป็นเรื่องปกติ

ได้เวลาปรับทัศนคติ ผู้ชายใส่เสื้อผ้าผู้หญิงไม่ใช่เรื่องแปลก!

เคยมีคนมาคอมเมนต์ผมว่า 'ผู้ชายไม่สามารถใส่เสื้อผ้าผู้หญิงได้หรอกครับ คนที่ใส่ได้ก็แต่ LGBTQ หรือ ผู้หญิงเท่านั้น ผมรู้สึกว่ามันไม่สวยงาม ผมไม่ได้เป็นคนหัวโบราณนะ แต่มันไม่ได้จริงๆ ครับ' ผมเลยคอมเมนต์ตอบกลับไปว่า 'เสื้อผ้าอาจจะมีกรอบสำหรับพี่ แต่สำหรับผมมันไม่ได้มีกรอบอีกต่อไปแล้ว ผมมองเสื้อผ้าว่าเป็นเครื่องนุ่งห่มที่ใครสามารถสวมใส่ก็ได้ ถ้าเราชอบ ถ้าเรามั่นใจ' แต่เอาจริงๆ มีแรง หรือหยาบคายกว่านี้เยอะแยะ แต่ถามว่ารับมืออย่างไร ผมเตรียมใจมาตั้งแต่แรกว่าต้องเจอ ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องการแต่งตัวนะ การที่เราทำอะไรแตกต่างจากสังคม มันเป็นที่จับตามองของสังคมอยู่แล้ว มันเป็นทุกเรื่อง

“ผมอยากให้ PHISUNEE เป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ชาย จริงๆ เพราะเพศทางเลือก หรือ ผู้หญิง เขาใส่เสื้อผ้าทั้งของผู้หญิง และของผู้ชายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”

PHISUNEE คือ พื้นที่ปลอดภัยของผู้ชายทุกคน

การพูดคุยครับ แรกๆ เขาก็ทักเรามา ‘พี่ๆ ผมใส่ได้ไหม’ โน่นนี่นั่น เอาจริงๆ มีอยู่คนหนึ่งซึ่งผมมีโอกาสคุยกันตอนที่ทำแบรนด์ใหม่ๆ เราคุยกันผ่านเพจ เขาก็ทักมาบอกว่า ‘อยากซื้อกระโปรงมากเลย ผมจะใส่ของพี่ได้ไหม’ คือคนนี้เหมือนเขาเป็นนักเรียนนานาชาติมา แล้วเขาชอบฟังวงเมืองนอก แล้ววงดนตรีที่เขาชอบก็ใส่กระโปรง ซึ่งเขาก็หาข้อมูลว่า ในไทยมีใครทำเสื้อผ้าผู้หญิงไหม สรุปมาเจอผมครับ ซึ่งดูจากภายนอกแล้วไม่ได้เป็นคนแต่งตัว แต่วันหนึ่งเขาทักมาบอกผมว่า เขาขอกำลังใจจากผมหน่อย เขาจะใส่กระโปรงแบรนด์ผมขึ้นพรีเซ็นท์หน้าชั้นเรียนที่มหา’ลัย บางคนเป็นครู เขาไม่ได้ซื้อกระโปรงผม แต่ทักมาขอกำลังใจ ในการใส่กระโปรงขึ้นไปพูดหน้าเวที หรือหน้าเสาธง แล้วพอคุยเสร็จเขาก็ถ่ายคลิปมาให้ผมดูว่า เขาใส่จริงๆ แล้วไม่มีใครว่าเขา ทุกคนชมเขาว่าน่ารัก และเท่ ผมก็รู้สึกดีใจมากๆ เลย

คอลเลกชั่นใหม่แบบ Y2K

สีแรกคือ เขียว กับชมพู ส่วนล่าสุดคือ ฟ้า กับส้ม ผมรู้สึกว่าเป็นคู่สีที่แมทช์กันง่ายกับกระโปรง หรือเสื้อผ้าสีสันก็ได้ ตามกระแส Y2K ด้วยการใส่กลิตเตอร์ลงไป ตัดสีเหลืองเพื่อให้ออกมาเป็นแนวสปอร์ต 

แรงบันดาลใจมาจากเชียร์หลีดเดอร์ จริงๆ มีทั้งหมด 4 สี ผมจะทำ 4 สีตั้งแต่แรก แต่เงินยังไม่ถึง เลยผลิต 2 สีแรกก่อน ตามด้วย 2 สีนี้ ผมอิงจากประวัติศาสตร์โลกด้วยนะครับ ในปี 1898 ยุคนั้นมีกีฬาสถาบัน ขึ้นมาพร้อมกับสหรัฐอเมริกา กีฬาสีเริ่มมีตั้งแต่ยุคนั้น ช่วงนั้นเริ่มมีความเท่าเทียมทางเพศเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ถูกถกเถียงเรื่องของผู้ชายเป็นใหญ่ ซึ่งเชียร์หลีดเดอร์ในยุคแรกๆ ผู้ชายเป็นคนเชียร์เท่านั้น แต่ก่อนผู้หญิงไม่เต้น จนปี 1940 เข้าสู่โหมดสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเลยเกณฑ์ทหารทั้งหมดไปออกรบ ไม่มีใครเชียร์ ผู้หญิงเลยต้องนำเชียร์แทน อันนี้คือประวัติศาสตร์ของคอลเลกชั่นนี้ 

“ผมเป็นผู้ชาย ผมเล่นของมือสองมาก่อน ผมจะอินกับเรื่องประวัติศาสตร์มากๆ ผมไม่ได้เสพแค่เสื้อผ้าแต่ละชิ้น ผมเสพสไตล์ของมันด้วย” 

ปัญหา และอุปสรรคในการทำแบรนด์

ผู้ชายใส่กระโปรงยาวมีแล้ว แต่ผู้ชายที่ตัวเล็ก และตัวเท่าผมมาใส่เสื้อผ้าสไตล์แบบนี้ค่อนข้างหายาก ผมอยากได้คนที่หุ่นแบบผม แล้วใส่เสื้อผ้าแบบนี้ในชีวิตประจำวัน ถ้าไปเอานายแบบ หรือจ้างใครมา ถามว่าเขาใส่ได้ไหม ก็ใส่ได้ แต่จริต หรืออินเนอร์มันไม่ได้ 

ผู้ชายเขายังไม่กล้าใส่ของผม ใช่แหละผมอาจเป็นแรงบันดาลใจ แต่คนที่ใส่ต้องตัวเท่าผม สูงประมาณเท่าผม ถึงจะออกมาแบบที่ผมอยากจะสื่อสารออกไป เพราะผมก็ไม่กล้าผลิตไซส์ใหญ่มาก คนตัวใหญ่เขาอาจจะไม่กล้าใส่ก็ได้

“ถ้าผมออกคอลเลกชั่นแล้วเอาไปขาย อยากให้เป็นผู้ชายใส่ถ่ายล้วนๆ เพราะผมยังไม่เห็นว่ามีแบรนด์ไหนเขากล้าทำ ที่สร้างเสื้อผ้าผู้หญิงแล้วพรีเซ็นต์ออกมาให้ผู้ชายใส่ แต่ยังทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะผู้ชายเขาไม่ได้มีความมั่นใจขนาดนั้น ผมยังไม่เห็นคนที่เป็นเหมือนผมเลย ณ ตอนนี้ผมส่องกระจก ผมเห็นแค่ผมคนเดียว”

เราต้องง้อผู้หญิงครับ เพราะถ้าเราเอาผู้ชายใส่ถ่ายเพียงอย่างเดียว ผู้หญิงจะไม่มีเรฟ และไม่กล้าซื้อ กลายเป็นว่า ทุกวันนี้ผู้หญิงเป็นคนทำให้แบรนด์ผมดำเนินต่อไปได้ แต่ตอนคอลเลกชั่นกระโปรงยาวผู้ชายซื้อนะครับ แต่พอออกมาเป็นคอลเลกชั่นเสื้อตัวเล็กๆ ผู้ชายซื้อค่อนข้างน้อย และก็หนีไม่พ้นเรื่องเงิน เพราะการทำแบรนด์ใช้เงินเยอะมาก ถ้าใครเข้ามาถามว่า อยากเปิดแบรนด์ต้องทำอย่างไร? อยู่เฉยๆ ดีแล้ว (หัวเราะ) คือ ไอเดียผมเยอะมากกว่าเงินในกระเป๋า แล้วผมแบกคนเดียว ไม่ได้หารกับใคร 

เมื่อมีคนชอบ ย่อมมีคนไม่ชอบอยู่คู่กัน

ถ้าไม่ชอบเหรอ ยังไงเราก็ไม่รู้ต่อหน้าอยู่แล้ว ส่วนมากเขาจะซัดกันในโซเชี่ยล ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรไปครับ การรับมือกับเรื่องนี้คือ เราปล่อยมือครับ ผมอ่านทุกคอมเมนต์นะ เพราะอยากรู้ว่าไปในทิศทางไหน และเป็นยังไง ถามว่าส่งผลอะไรกับเราไหม อาจจะมีนิดหนึ่ง ซึ่งผมทำใจไว้อยู่แล้ว แต่เราเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เพราะเป็นการปะทะที่ชนะที่สุดแล้ว การที่เราไม่ได้ตอบโต้ ผมรู้สึกว่าเราชนะแล้ว เรื่องแบรนด์ผมรู้สึกเฉยๆ เป็นที่ตัวผมมากกว่า 

แรกๆ พ่อแม่ผมก็ไม่ยอมรับ เพราะเขาค่อนข้างหัวโบราณ ทำงานราชการ เป็นครู ทำงานในโรงพยาบาล การสัก, เจาะหู หรือ แฟชั่นต่างๆ ผมเอาหมด และยิ่งมาแต่งตัวเป็นผู้หญิงยิ่งเข้าไปอีก ตอนนั้นผมใส่กระโปรงอัพรูปลงเฟสบุ๊ก โซเชี่ยลฮือฮามาก จนญาติพี่น้องเข้ามาถามผมว่า 'ผมชอบผู้ชาย หรือผู้หญิง?' ถ้าคนตัดสินผมผ่านคลิปๆ เดียว หรือ รูปผมเพียงรูปเดียว ยังไงเขาก็คิดว่าผมเป็นแบบนั้น บางคนคุยกับผม เขาทักว่า 'ทำไมยังเรียกแทนตัวเองว่า "ผม" มันดูแปลกๆ' ผมก็งงอยู่พักหนึ่ง จนเขาทักขึ้นมาอีกว่า ‘เป็นผู้ชายเหรอ?’ ผมก็ตอบเขาไปว่า ใช่พี่ ผมเป็นผู้ชาย แต่คนทั่วไปมักจะคิดแบบนี้ เพราะฉะนั้น พี่ไม่ต้องซีเรียสนะ แต่บางคนเขาก็จะยัดเยียดให้ผมเป็นให้ได้ เคยมีคนมาคอมเมนต์ว่า ‘ถ้าคุณไม่มีลูก ยังไงผมก็ไม่เชื่อคุณ’ หรือ ‘แต่งตัวขนาดนี้ยังกล้าใช้คำว่าครับอีกเหรอ ใช้คำว่าค่ะ ได้แล้ว’ หรือ ‘แต่งตัวขนาดนี้ต้องมีดิลโด้เอาไว้ยัดตูดตัวเองที่ห้องแน่เลย’ บางคนลากผมเข้าไปด่าในกลุ่มเหยียดโดยเฉพาะเลยก็มี

“ช่วงวัยเดียวกับผม หรือคนที่ชอบแต่งตัวเขายอมรับนะครับ เขาชอบเสื้อผ้า เขาเสพถึงอยู่แล้ว พวก Gen C, Y, Z แต่พวกคนที่ไม่ยอมรับ หรือไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แค่สนับสนุนเราก็พอ คนที่เป็นผู้ใหญ่ วัยเบบี้บูมเมอร์ ปล่อยให้เราทำไปเถอะ เด็กรุ่นใหม่อ่ะครับ เราไม่ได้อยากดีดนิ้วแล้วคนยอมรับเราทั้งหมด” 

จุดยืนของ PHISUNEE ที่ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

แม่ผมใช้เวลากับเขาอยู่ช่วงหนึ่ง จนเขาโทรมาหาผม เขาไม่เคยคอมเมนต์ ไม่เคยอะไรกับผมเลย และเขาเห็นทุกอย่าง แม่เขาจะพูดกับเราอย่างเดียวว่า ไม่อายเหรอแต่งแบบนี้ ผมก็ตอบเขาไปว่า ไม่อาย เพราะผมไม่ได้ไปฆ่าใคร ผมไม่ได้ถูกจับอยู่ที่สถานีตำรวจแล้วให้แม่มาประกันตัวผม ผมก็แค่ชอบแต่งตัว แต่เอาจริงๆ แม่เขาก็ไม่ยอมรับหรอก และบอกกับผมว่าถ้าอยากแต่งให้ไปแต่งที่กรุงเทพฯ คือถึงเขาจะพูด หรือไม่พูด ผมไม่มีทางแต่งแบบนี้ไปที่บ้านแน่นอน คนไทยทุกคนถูกสอนให้รู้จักกาละเทศะ ผมคงไม่แต่งแบบนี้ไปเข้าวัดหรอก แล้วผมไม่ได้แต่งหญิงทุกวันด้วย ผมดูสถานการณ์ ดูสถานที่ ดูความเหมาะสม ถ้าผมจะแต่งไปหาแม่จริงๆ คงแกล้งเขา เรารู้ว่าอะไรควรไม่ควรอยู่แล้ว ทุกวันนี้แม่ยอมรับแล้ว เพราะผมทำมันเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องขอแม่ แม่เลยยอมรับ คนต่างจังหวัด หรือพ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด เขาจะยอมรับก็ต่อเมื่อ เราทำให้เขาเห็น และทำให้เขารู้สึกว่าเราไม่ได้ไปรบกวนเขา ตั้งแต่เรียนจบมาผมไม่ได้ขอเงินแม่เลย ทุกวันนี้ผมได้เงินมาเพราะ แต่งตัวเป็นผู้หญิงจากความชอบ จนกลายเป็นอาชีพ แล้วผมก็รู้ตัวเองอยู่แล้วว่าชอบอะไร เราอยู่กับเสื้อผ้าได้นานครับ ผมชอบเสื้อผ้ามากๆ แล้วผมหาตัวเองเจอแล้ว ผมก็อยากให้คนอื่นหาตัวเองเจอเหมือนกัน ทุกวันนี้ใครๆ ก็อยากหาตัวเองเจอทั้งนั้น ส่วนเพื่อนก็เตือนนะครับว่า แต่งตัวแบบนี้ระวังผู้หญิงเข้าหายากนะ ตอนนั้นเรากำลังรู้สึกสนุก เลยมองว่าช่างมัน เดี๋ยวคงมีคนที่ใช่จริงๆ แหละ 

“ถ้าวันหนึ่งมีคนเดินมาบอกผมว่า เลิกแต่งตัวเป็นผู้หญิงซะ งั้นให้เงินผมป่ะล่ะ เพราะถ้าผมหยุดแต่งผมคงไม่มีเงินแล้ว”

ผมก็แค่ทำตอนนี้ให้เขาเห็นว่า มันดีนะ มันไม่ได้แย่ เพราะสังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว คุณจะเป็นคนจมปลักกับความคิดชุดเดิมๆ อย่างนั้นเหรอ คุณมีสิทธิ์คิดได้นะ แต่คุณอย่าดึงรั้งเราไว้ ปล่อยให้เราทำไปเถอะ รอดูเราอยู่ห่างๆ ไม่ชอบก็ยืนกอดอกอยู่ห่างๆ

สิ่งที่ผมทำอยู่มันไม่ได้แมสในประเทศไทย ซึ่งมันจะขายได้ไหม ก็ท้าทายมาก แต่ตอนนั้นผมรู้สึกว่า อย่างน้อยเราก็เจ้าเดียว ผมจะทำอะไร จะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้มีความกล้าที่จะเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าผู้หญิง แล้วซื้อกระโปรงผู้หญิงออกมา

แบรนด์ผมก็เหมือนร่างโคลนนิ่งของผม ถ้าแบรนด์จะแมส ตัวผมก็ต้องแมสด้วย ถ้ามันเปรี้ยงปร้างขึ้นมา เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องปกติ ถ้าการใส่กระโปรงสำหรับผู้ชายเป็นเรื่องปกติ แบรนด์ผมก็คงจะแมส และอยู่อันดับต้นๆ ตอนนี้มันถูกสร้างไว้เพื่อรอระเบิด

“ผมรับประกันเลยว่า ยังไงเดินไปสยามเจอผู้ชายใส่กระโปรงแน่นอน แต่เป็นกระโปรงยาวซะส่วนใหญ่ แต่ยังไม่มีคนใส่กระโปรงสั้น”

อนาคตของผู้ชายใส่กระโปรง และสโตร์ของ PHISUNEE

มีแน่นอน ผมกล้าฟันธง เพราะแสดงมา 3 ปี ผมก็เห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ขนาดตอนนี้มันยังเพิ่มขึ้น อนาคตก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน อาจจะไม่ถึง 10 ปีก็ได้ครับ แค่ 5 ปีก็พอ แต่ 10 ปีอาจกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ตอนนั้นผมอายุ 36 คนคงใส่สูท ผูกไท และใส่กระโปรงเดิน ผมคงยืนน้ำตาไหลเลย เพราะสิ่งนี้ผมพยายามทำมาโดยตลอด ต่อสู้กับคอม เมนต์ กับสังคม และครอบครัว

ตอนนี้ผมขายอยู่ที่สยาม 2 ร้าน คนมาซื้อก็ยังเป็นผู้ชาย แต่ในอนาคต ถ้าผมเปิดเป็นสโตร์ได้จะดีมาก เพราะเป้าหมายของคนทำแบรนด์เสื้อผ้า ใครๆ ก็อยากมีร้านเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง ผมก็อยากมีร้านเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง และพยายามสื่อสารเอกลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งในอนาคต ถ้าแบรนด์ผมคงที่แล้ว ผมอยากให้ผู้ชายใส่ การพรีเซ็นท์ก็อยากให้ผู้ชายใส่ 100% เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ชายหลายๆ คน อย่างน้อยคนที่มาซื้อ ถ้าไม่ชอบเสื้อผ้าผู้หญิง ก็อาจชอบเรา ได้ครบทุกอย่าง แต่ผมยังทำแบบนั้นไม่ได้ ณ ตอนนี้ ถ้าผมมีเงินผมอาจไปเร็วกว่านี้ในการทำเรื่องพวกนี้ ถ้ามันแมสเมื่อไหร่ แบรนด์อื่นตามมาแน่นอน ประเทศไทยไม่มี แต่ต่างประะเทศมีแบบนี้มานานแล้ว ผมคิดว่า ถ้าผมเกิดเป็นคนต่างประเทศ ผมอาจจะโต และไปไกลกว่านี้ เพราะเรื่องพวกนี้มันแมส และเป็นธรรมชาติมากๆ 

“ผมเคยเป็นคนตัวเล็กมาก่อน ถ้าผมอยู่ในจุดที่ให้ได้ ผมก็อยากให้พวกเขาวาปไม่ต้องมาเจอสิ่งเหล่านี้แบบผม”

PHISUNEE’s Tips

  • เสื้อผ้าผมส่วนใหญ่เป็นแนว Y2K รัดตัว ครอปท็อป ถ้าผมแนะนำคือ ให้ใส่เป็นกางเกงเอวต่ำ มันจะถึงสะดือพอดี การแมทช์ Y2K ไม่มีอะไรมาก คือ ใส่กางเกงเอวต่ำ เสื้อผ้าสีสันสดใส และระยิบระยับ เบสสีจะอยู่ระหว่างชมพู หรือ ใส่มินิสเกิร์ต เข็มขัดผีเสื้อ รองเท้าส้นตึก 
  • การแต่งตัวของผมจะอิงจากความชอบ ณ ตอนนั้น แต่อาจจะเกาะกระแสสัก 30% ความชอบ 70% หน้าร้อนผมอาจจะทำแขนยาวขายก็ได้ (หัวเราะ) 
  • ง่ายๆ เลยคือ แต่งที่ตัวเองมั่นใจครับ ถ้าเราไม่มั่นใจอย่าไปฝืนมันเลย แต่ต้องถามก่อนว่าชอบหรือเปล่า ถ้าเราชอบเสื้อผ้าตัวนี้ ผมคิดว่ายังไงก็ใส่มันขึ้น อย่างน้อย 80% ใส่ขึ้นแน่นอน 
  • แต่คนที่แต่งตัวแรกๆ หรือ แต่งตัวไม่เป็น อาจจะรู้สึกว่าใส่อะไรแล้วไม่ค่อยมั่นใจ แต่ถ้าชอบใส่เลยครับ ไม่ต้องรอให้ใครมา approve ให้เราหรอก เรา approve ตัวเองเลย 
  • บางตัวเราชอบมาก แต่ใส่ออกมาแล้วไม่เข้ากับเรา แต่พอเกิดการ develop ใส่ซ้ำไปเรื่อยๆ มันจะกลมกลืนไปกับเราเอง
  • อยากแต่งแต่งไปเลย ไม่ต้องไปดูหรอกว่า อันนั้นของผู้หญิงไม่ซื้อดีกว่า ถ้าชอบก็ซื้อแล้วใส่เลย เริ่มจากกระโปรงยาวสีดำง่ายสุด 

ติดตาม PHISUNEE ต่อได้ที่

IG: @phisunee.official
FACEBOOK:
PHISUNEE.Official
Shop:
Daddy And The Muscle Academy Siam Square Soi 2 และ Frank Garcon Siam Center Floor 1