Life

ชวนผ่อนคลายจิต บำบัดใจ ไปกับขันทิเบต พลังแห่งก้อนหิน และเพจ ‘Tarot with Fahsuay’

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่สำหรับหลายคนที่มีข้อจำกัดไม่ว่าจะด้วยการทำงานหนักแทบทุกวัน ช่วงนี้ไหนจะยังเจอฝนตก รถติดวันละหลายชั่วโมง จะมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยให้ได้พักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ ปล่อยวางความคิด และรีเฟรชได้แบบเต็มที่ ในเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด?

นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนเคยตั้งคำถามกับตัวเองและเริ่มหาคำตอบมาสักระยะ จนได้มารู้จักกับ ‘ขันทิเบต’ (Tibetan Singing Bow) ศาสตร์หนึ่งของ ‘Sound Healing’ (คลื่นเสียงบำบัด) และ ‘ฟ้าสวย – ธนพร ปภัสราทร’ หรือ ‘แม่หมอฟ้าสวย’ แห่งเพจ ‘Tarot with Fahsuay : ความสุขจากฟ้าสวย’ ผู้ทำให้รู้ว่าศาสตร์นี้น่าสนใจกว่าที่คิด

Intro: Sound Healer

เมื่อสังเกตจากชื่อเพจก็พอจะรู้ได้ว่าจุดเริ่มต้นของฟ้าสวยคือการเป็นหมอดู แล้วทำไมถึงเข้ามาสู่วงการ Sound Healer?

“เราสนใจเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่าคนยุคสมัยใหม่มีความเครียดเยอะ และเครียดง่าย บางครั้งการเป็นหมอดูอย่างเดียว อาจจะดูแลด้านจิตใจได้บ้าง ทำนายทายทักก็ว่ากันไป มันเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ทั้งหมด แต่เราอยากทำอะไรที่มันอยู่ในระยะยาวมากขึ้น ให้คนรู้สึกผ่อนคลายสบายใจเวลาเจอเรา เลยไปเรียนรู้ศาสตร์นี้จากสถาบันของเนปาลที่เปิดในไทย” เธอกล่าว

#1 Sound Healing

ฟ้าสวยต่อบทสนทนาด้วยการบอกถึงหลักการตีขันและ Sound Healing ที่ควรรู้ก่อน เพราะเชื่อว่าหลายคนอาจจะยังมองมันเป็นความเชื่อหรือสิ่งงมงาย ทั้งๆ ที่เป็นการใช้หลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีงานวิจัยรับบรอง

“การบำบัดด้วยขันทิเบต ไม่ใช่แค่การเคาะขันให้เกิดเสียงแล้วจบไป แต่เป็นการใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่ต่างๆ มาทำปฏิกิริยากับร่างกายมนุษย์ เพื่อให้สมองผ่อนคลาย หรืออยู่ในช่วงความถี่ต่ำ และเข้าสู่โหมดการพักผ่อนที่คล้ายกับการหลับลึก”

เมื่อร่างกายเข้าถึงขั้นนั้นก็จะหลั่งสารที่จำเป็นออกมา การฟังคลื่นเสียงจึงเปรียบเสมือนการย่นระยะเวลาจากการนอนหลับทั้งคืนให้สั้นลง แต่ทั้งนี้จะไม่ปล่อยให้หลับเกิน 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะถ้าหลับนานเกินไป ร่างกายจะเพลีย ซึ่งมีผลต่อการทำกิจกรรมอย่างอื่นหลังจากนั้น อย่างการขับรถหรือไปทำงานต่อ ทำให้อาจเกิดอันตรายได้

#2 ส่งต่อพลังชีวิตด้วยขันทิเบต

“ขันทิเบตที่นำมาใช้บำบัดจะทำด้วยมือ ซึ่งต่างจากที่วางขายตามร้านทั่วไป เพราะการทำด้วยมือคือการใช้พลังชีวิตของคนผลิต เมื่อผู้บำบัดใช้แรงกายแรงใจตีลงบนขัน เสียงก็จะมีความไพเราะ และเมื่อคนได้ฟัง ก็จะได้รับพลังชีวิตเหล่านั้นไปด้วย ทำให้รู้สึกสดชื่นหรือแฮปปี้ขึ้น” เธอกล่าว

#3 ปรับเปลี่ยนการบำบัดให้เข้ากับบุคคล

เมื่อพูดถึงขั้นตอนการบำบัด แม่หมอฟ้าสวยแชร์ว่า สามารถแบ่งได้เป็นช่วงต้น ช่วงเนื้อหา และช่วงสรุป (ปลุกให้ตื่น) ซึ่งต้องมาเลือกต่อว่าจะใช้เสียงแบบไหน อุปกรณ์อย่างไร เพื่อดึงแต่ละคนเข้าไปในแต่ละช่วง เช่น ‘Sound Bath’ หรือการอาบคลื่นเสียง จะใช้ขันทิเบตผสมกับเครื่องดนตรีชนิดอื่น เพื่อให้คนรู้สึก Enjoy กับเสียงที่ต่างกันออกไป ส่วน Chakra Balance หรือการปรับสมดุลร่างกายในเชิงพลังงาน จะใช้แค่ขันอย่างเดียว เป็นต้น โดยขันและไม้ที่ให้เสียงแหลมนั้นจะใช้กับการปลุกให้คนตื่น ส่วนเสียงนุ่มลึก จะใช้ทำให้คนหลับ

นอกจากนั้น ช่วงเวลาที่สะดวกของผู้เข้ารับการบำบัดก็สำคัญ เช่น ถ้าสะดวกช่วงกลางวัน ก็จะตีขันในแง่ของ balancing หรือที่เรียกว่า ‘การปลุกกุณฑาลินี’ คือการทำให้ร่างกายสมดุล ตื่นตัวจากความเหนื่อยล้า แต่ถ้าเป็นช่วงเย็นหรือค่ำก็จะตีเพื่อเน้นการผ่อนคลายเป็นหลัก

#4 ผนวกศาสตร์แห่งเสียงเข้ากับพลังของหิน

อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเน้นย้ำกับผู้เขียนว่าขันทิเบตน่าสนใจกว่าที่คิด คือการที่ฟ้าสวยนำมันไปผสมผสานกับการใช้หิน ซึ่งเป็นพลังธรรมชาติอีกศาสตร์หนึ่ง เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการบำบัดกายใจให้เข้มข้นขึ้น

“เราอาจจะได้ยินคำว่า ‘จักระ’ มาบ้างแล้ว ถ้าพูดง่ายๆ เลย มันคือการแบ่งส่วนของร่างกายออกเป็น 7 ส่วน และสมมติให้แต่ละส่วนมีพัดลมอยู่ 1 ตัว พัดลมตัวนี้ควบคุมทางด้านร่างกาย (Physical) และจิตใจ (Mental) เช่น พัดลมที่อยู่บริเวณศีรษะ จะควบคุมเรื่องความเครียด อาการการปวด ขณะเดียวกันก็ควบคุมความตระหนักรู้ปัญหา ลางสังหรณ์”

ส่วนหินเป็นพลังงานด้านธรรมชาติที่เกิดจากการรวมตัวกันเป็นก้อนของดิน น้ำ ลมไฟ ความร้อน ซึ่งมีอายุยาวนานเป็นร้อยเป็นพันปี พลังงานเหล่านี้มาพร้อมความถี่ ซึ่งหินแต่ละก้อนจะมีความถี่ไม่เท่ากัน เช่นเดียวกับร่างกายทั้ง 7 ส่วนที่มีความถี่ต่างกันไป เมื่อหินมาเจอกับร่างกาย ก็จะช่วยปรับสมดุลให้ดีขึ้นได้

“มีหลายครั้งที่เราใช้ขันกับหินร่วมกัน คือวางหินตามจุดจักระ โดยประเมินอาการของแต่ละคนด้วยเสียงก่อน เช่น เรารู้ว่าขันนี้เป็นเสียงโน้ต C ถ้าส่วนไหนที่พลังงานเสียสมดุล เช่น ปวดท้องมาแล้วเอาขันนี้ไปตีใกล้ๆ เสียงขันเราจะแปลกไป เราก็จะเลือกหินที่มีความถี่เหมาะสมไปวางตรงนั้น เพื่อส่งพลังงานไปที่ท้อง”

#5 บำบัดพร้อมรับฟัง

ทั้งนี้ นอกจากการตีขันและใช้ความถี่ของก้อนหินแล้ว ผู้ให้การบำบัดยังเป็นผู้รับฟังเรื่องราวที่ติดอยู่ในใจของผู้เข้ารับการบำบัดด้วย เพื่อให้พวกเขาผ่อนคลายมากที่สุด

“เราต้องเจอกับคนมากหน้าหลายตา บางคนอาจมีเหตุการณ์ฝังใจตั้งแต่เด็ก บางคนโดนทำร้ายร่างกายและจิตใจมา หรืออาจมีอาการซึมเศร้า นอนไม่หลับ เครียด เขาก็จะเล่าให้เราฟัง เพื่อปลดปล่อยเรื่องราวบางอย่างออกมา”

#6 Healing of Sound healer

การต้องรับฟังเรื่องราวต่างๆ ตลอดการบำบัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลังงานด้านลบ มันทำให้คุณเหนื่อยบ้างไหม ถ้าเหนื่อย คุณมีวิธีดึงตัวเองกลับมาอย่างไร?

“ยอมรับว่าเหนื่อยทีเดียวค่ะ บางทีสมองเราบอกว่าไม่ได้เก็บมาคิด แต่จิตใจเรากลับเก็บมารู้สึก ดังนั้นเราต้องรู้จักวิธีฮีลตัวเองด้วย ซึ่งอย่างแรกที่จะทำคือ ใช้กำยาน ธูป หรือเสจ พืชที่เขาเชื่อกันว่ามีฤทธิ์ในการล้างพลังงานลบ นำมาจุดรวมกัน ให้ควันมันล้างตัวเรา อุปกรณ์ และสถานที่ ส่วนด้านทางโลก เราก็จะไปดูหนัง ฟังเพลง ผ่อนคลาย”

#7 บททิ้งท้ายฉบับแม่หมอฟ้าสวย

“ส่วนใหญ่คนจะคิดว่าผู้เข้ารับการบำบัดจะต้องเป็นซึมเศร้า หรือมีความวิตกกังวลเท่านั้น จริงๆ แล้วมันได้เกือบหมดเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ ที่อาจเจอความเครียดทุกวัน และสะสมโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้ากำลังตั้งครรภ์ เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง หรือเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ลมชัก ควรแจ้งก่อนนะ เพื่อให้เราเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ขณะนอนหลับ ส่วนคนที่ใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในร่างกาย แนะนำให้หลีกเลี่ยง”

“อยากให้เปิดใจมาลองกันสักครั้ง เพราะศาสตร์นี้ไม่ใช่แค่มานั่งฟังเสียงตีขันก๊องแก๊ง แต่เป็นการใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ได้อิงศาสนาหรือไสยศาสตร์ มันจึงไม่ได้ส่งผลเสียอะไร และถ้าเข้ารับการบำบัดอย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยปรับพฤติกรรมบางอย่าง เช่น นอนไม่หลับ ให้ดีขึ้นได้ด้วย”

ติดตาม ‘แม่หมอฟ้าสวย’ ได้ที่

Facebook: Tarot with Fahsuay : ความสุขจากฟ้าสวย