วัฒนธรรม ‘แฟนด้อม’ ทุกวันนี้ นับว่ากว้างขวางขึ้นมา จากคำว่า ‘ติ่ง’ ที่มีนัยยะในเชิงเหยียดจากการหยิบเอาลักษณะของกลุ่มแฟนคลับเป็นแค่เด็กนักเรียนหญิงผมสั้นเท่า ‘ติ่งหู’ ขึ้นมาเป็นคำเรียกกลุ่ม คำนี้ก็ได้รับการยอมรับและถูกใช้อย่างแพร่หลาย ลดทอนความหมายในแง่ลบจนกลายเป็นคำเรียกทั่วไป และใครๆ ก็เป็นติ่งได้
วันนี้เราได้ชวนคนรุ่นใหม่ 3 คนที่อยู่ในแฟนด้อมไทย จีน และเกาหลี มาพูดคุยกันประสาติ่ง เกี่ยวกับด้านหนึ่งของชีวิตที่เป็นแฟนคลับ อคติที่เคยพบเจอ และมุมมองที่มีต่อศิลปิน ที่พวกเธอได้ผ่านกันมา
จุดสนใจที่ทำให้เข้าแฟนด้อมนี้คืออะไร?
พลอย พิทยาภรณ์ (Twitter: @_nalasaysplease IG: pittaploy) อายุ 22 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ชื่นชอบศิลปินเกาหลีวง EXO
“ตอนนั้นเราน่าจะอยู่ ม.1 ค่ะ คนหวีด EXO กันหนักมากเหมือนเป็นกระแสช่วงนั้น เรารู้จักศิลปินเกาหลีอยู่บ้าง แต่ยังไม่เคยชื่นชอบจนขนาดไปอยู่ในแฟนด้อมไหนมาก่อน แอบรู้สึกอคติเล็กๆ ว่าคนจะชอบอะไรขนาดนั้น (หัวเราะ) พอผ่านไปสักพักเราก็ส่องดูหน่อยว่าวงที่คนกรี๊ดกันเว่อร์ๆ นี่มันจะเป็นยังไง ไปดู MV “Wolf” เป็นเพลงแรกค่ะ แล้วก็สะดุดตากับผู้ชายคนหนึ่ง ตอนนั้นเราแบบ เออ หล่อจริง ซึ่งเขาคือ ‘ปาร์ค ชานยอล’ (박찬열) ค่ะ ดูไปอีกสักพักก็สะดุดตากับ ‘บยอน แบคฮยอน’ (변백현) เพราะแต่งตาเข้ม เราเลยสังเกต 2 คนนี้บ่อยขึ้น ตามดูคอนเทนต์อื่นเรื่อยๆ ดูไปดูมา กลายเป็นว่าโดนตกเฉย”
หยิน – ภัทรณกัญ อนันเต่า (Twitter: @PKJourney_ & @LovelyLelush_TH) อายุ 22 นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศิลปินที่ชอบคือ เลลุช (Lelush/利路修)
“จริงๆ เราเป็นคนที่ติ่งเยอะมาก อยู่หลายแฟนด้อม ตอนนั้นดูรายการ “Chuang 2021” ก็ได้รู้จักกับเลลุช ผู้เข้าแข่งขันที่เป็นคนรัสเซีย แล้วเขาก็ไม่ได้อยากเดบิวต์นะคะ เขาไปแข่งด้วยความไม่ได้ตั้งใจ ตอนแรกเลลุชจะไปเป็นครูผู้ช่วยสอนภาษาให้กับเด็กญี่ปุ่นที่พูดภาษาจีนไม่ได้ แต่ด้วยความที่ขาดผู้เข้าแข่งในรายการ แล้วเลลุชก็หน้าตาดี ทีมงานเลยจีบมาเข้าร่วมด้วย เราดูแล้วก็สนใจ สงสัยว่าทำไมหมอนี่อยากกลับบ้านกันนะ (หัวเราะ) ถึงตอนนี้เลลุชจะอยู่เซี่ยงไฮ้แล้วติดล็อกดาวน์ ไม่มีข่าวมา 3-4 เดือนแล้ว เราก็ยังตามอยู่ ชอบที่เขาเป็นคนอินดี้ มีความพยายามฝึกฝนแล้วก็จริงใจ เราชื่นชมในจุดนี้มากๆ เลยค่ะ อยากจะเก่งเหมือนเขาบ้าง”
แมมมอธ – เก็จแก้ว กองแก้ว (IG: @mammoong) อายุ 20 นักศึกษามหาวิทยาลัยศรีนครินรทวิโรฒ ผู้ติดตามศิลปินค่ายนาดาวและผู้เข้าแข่งขัน LAZ iCON
“มันเริ่มจากการที่เราสนใจวงการบันเทิงตั้งแต่จำความได้ เราชอบดูคนเต้น ร้องเพลง เวลาแม่เอาคลิปตอนเด็กๆ มาเปิดให้ดูก็จะเป็นคลิปที่เราร้องเพลงแล้วดูคอนเสิร์ตไปด้วยตลอดเลย รายการ “The Star” หรือ “Academy Fantasia” เราก็ดู วงจากค่าย Kamikaze กับ RS มาตลอด เวลามีศิลปินหรือวงไหนเดบิวต์เราก็จะเข้าไปส่องดู ส่วนใหญ่เวลาชอบค่ายไหนก็จะตามศิลปินจากทั้งค่ายเลย ตอนนี้หลักๆ ก็ตามศิลปิน ค่ายนาดาว กับไอดอลจากรายการ LAZ iCON”
แฟนด้อมนี้ให้อะไรกับเรา?
พลอย: คือเราชอบตั้งแต่แฟนคลับยังถูกเรียกว่า EXO-Fan จนประกาศชื่อแฟนด้อมอย่างเป็นทางการว่า EXO-L มีสีและมีแท่งไฟประจำวง เท่ากับว่าเราชอบ EXO มาเกือบ 10 ปีแล้ว ระยะเวลาช่วงนั้นเราได้รับอะไรหลายอย่างมากจากแฟนด้อมนี้ ไม่ได้โอเว่อร์นะ แต่มันก็ทำให้เราเข้าใจว่าความรักที่มีต่อศิลปินจริงๆ เป็นยังไง ความรักที่อยากเห็นเขาเติบโต เห็นเขาพัฒนา ให้เขาได้ดีในสายงาน นอกจากนั้นก็คงเป็นเรื่องของสีสันค่ะ มีทั้งสุข ทุกข์ ตื่นเต้น ปะปนกันไปหมดเลย แต่ละเหตุการณ์มันทำให้เราได้โตขึ้นทางความคิดไปด้วย แล้วก็ให้อะไรที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ แบบปลดล็อกสกิล (หัวเราะ) อย่างตอนม.ต้น ถ้ามีคอนเสิร์ตเราก็ต้องเก็บเงิน ปกติเราไม่ใช่คนประหยัดเลย แต่พอจะไปคอนฯ แล้วเราอยากไปโซนที่บัตรราคาแพง เลยต้องหัดเก็บเงิน ซึ่งก็เก็บได้จริง เก็บได้เยอะมากแบบชนิดที่ชีวิตนี้เราไม่คิดว่าจะทำได้ และที่ขาดไม่ได้เลยคือได้เพื่อนใหม่ๆ มีทุกช่วงวัย ซึ่งมันทำให้เรามีสังคมเปิดกว้างยิ่งขึ้น เรามีเพื่อนทั้งเด็กกว่า เท่ากัน ที่โตกว่ามากๆ เลยก็มี ซึ่งคิดไปคิดมามันสุดยอดนะ กับการที่เรามารู้จักกัน สนิทกัน เพราะมีจุดร่วมด้วยกันคือ EXO ถ้าไม่ได้มีความชอบตรงกัน กับเพื่อนบางคนเราก็คงไม่ได้มีโอกาสมาเจอกันเลย
หยิน: ด้วยความที่มีคนเอ็นดูเลลุชเยอะ แต่ไม่มีใครตามติ่งเขาแบบจริงจัง เราก็อยากให้เขาเป็นที่รู้จัก อยากให้คนมาชอบเขาเยอะๆ เราก็เลยเปิดบ้านแฟนเบส เรียนภาษารัสเซีย ทำโปรเจกต์รถตุ๊กตุ๊กให้เขา แล้วก็ทำ give away แจก คือทำเยอะจนสงสัยตัวเองว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ ทุ่มเทไปไหมนะ (หัวเราะ) เราแค่รู้สึกว่าจะให้เมนตัวเองน้อยหน้าไม่ได้ ก็เลยทำเยอะ เลยได้รู้จักคนเยอะขึ้น เพราะรู้จักเขาเราก็ได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยทำ
แมมมอธ: ต้องบอกว่า ‘แพชชั่น’ เพราะว่าเมนเรา (สมุย) เป็นคนมีแพชชั่นแรงมากจนมันส่งมาถึงตัวเรา ก็เลยกลับมามีแพชชั่นกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ รวมไปถึงอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ด้วย คือเราไม่กล้าร้องเพลงนะ ทั้งๆ ที่ชอบร้องเพลง ชอบเต้นมาก พอได้ดูเขาร้องเต้นบนเวทีแล้วก็มีแรงฮึบ จนกล้าลองออดิชั่น (หัวเราะ) ก็คือไม่ติดนะ แต่มันทำให้เรารู้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่ดี ที่เขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับเรา นอกจากนี้ยังได้เพื่อนด้วย เพราะเวลาไปติ่งก็ไม่อยากไปคนเดียว
สำหรับเราแล้ว ‘ศิลปิน’ คืออะไร
หลายๆ คนที่มีความชื่นชอบในศิลปิน มักจะมีคำนิยามให้กับไอดอลในดวงใจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิต (role model) เป็นพี่ที่แสนดี และอีกมากมายที่คนๆ หนึ่งจะสรรหาคำมาจำกัดความได้ เราจึงสงสัยว่าในมุมมองของพวกเธอนั้น ‘ศิลปิน’ คืออะไร
พลอย: สำหรับเรา ศิลปินคือ ‘แรงบันดาลใจ’ และ ’สิ่งเยียวยาใจ’ แต่ก่อนเราไม่ได้สนใจภาษาจีนกลางเท่าไหร่ แต่พอมาชอบ EXO ซึ่งเราเมนคือ ‘เลย์’ (จาง อี้ชิง/张艺兴) แล้วเขาเป็นคนจีน แต่ก่อนจะมีการอนุญาตให้เขียนจดหมายเป็นของขวัญวันเกิดให้ศิลปินได้ เราเลยอยากเขียนเป็นภาษาบ้านเกิดเขา ก็ไปนั่งเรียน ให้เพื่อนที่เก่งภาษาจีนช่วยเช็คดูด้วย เราพยายามใส่ใจเท่าที่จะทำได้กับภาษาจีนที่ตัวเองไม่ถนัด ส่วนที่บอกว่าเป็นสิ่งเยี่ยวยาใจ เพราะว่าเวลามีคอนเทนต์ของวงที่เราชอบมาให้ดูมันก็สนุก ได้ขำไปด้วย ยิ่งถ้าไปคอนเสิร์ตคือเราอยากติดอยู่กับช่วงเวลานั้นไปนานๆ เพราะการได้โฟกัสแค่กับพวกเขา มันทำให้ลืมเรื่องเครียดไปได้สักพัก เหนื่อยกายแต่สนุกมากจริงๆ มันใจฟูไปหมดเลย
หยิน: เราคิดว่าเขาเป็น ‘safe zone’ ค่ะ เพราะว่าตอนแรกชีวิตไม่ค่อยแฮปปี้ ก็เลยมาติ่ง แล้วพอได้รู้จักก็ตามเขามาตลอด จนเขากลายเป็นความสบายใจของเรา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักเราก็ตาม (หัวเราะ) แต่แค่ได้เห็นรอยยิ้มของเขา เราก็มีความสุขและรู้สึกว่าได้ถูกเยียวยาแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งเจริญหูเจริญตาในแต่ละวัน
แมมมอธ: เมื่อก่อนเรามองว่าศิลปินเป็นโลกทั้งใบเลยนะ คือตายแทนเขาได้ แต่พอโตขึ้นเราก็เริ่มเข้าใจว่า ‘ตลอดไป’ ไม่มีจริง เราไม่สามารถรักใครไปตลอดได้อยู่แล้ว สำหรับเรา ศิลปินก็เลยเป็นคนๆ หนึ่ง ที่เราก็รักและชื่นชม เอาจริงๆ ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้นะว่าเขาคืออะไร แต่ก็มองว่าเขาเป็นคนเหมือนกับพวกเรา
เมื่อก่อนคนมักจะอคติกับคำว่า ‘ติ่ง’ แต่ในตอนนี้มุมมองของสังคมวงกว้างต่อติ่งเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว คิดยังไงกับความเปลี่ยนแปลงนี้บ้าง ที่ผ่านมารับมือกับอคติยังไง
พลอย: เรื่องความเปลี่ยนแปลงของทัศนคติที่มีต่อติ่งเกาหลีแน่นอนว่าเป็นอะไรที่ดีนะคะ เพราะแปลว่าความคิดคนในสังคมพัฒนาขึ้น ทุกคนควรรับรู้กันมานานแล้วว่าการดูถูกความชื่นชอบของคนอื่นเป็นอะไรที่ไม่ควรทำเลย ตราบใดที่ความชอบนั้นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ในยุคที่เราเริ่มมาติ่ง เราไม่ได้ถูกใครมองในแง่ลบนะ เพราะก็มีเพื่อนติ่งค่อนข้างเยอะ แค่อาจจะไม่ได้เปิดกว้างเท่าสมัยนี้ แต่จะโดนทำนองว่า “ติ่งไปแล้วได้อะไร” เราก็ให้คำตอบไปว่ามันคือความชอบ คนเราต้องมีสิ่งที่ตัวเองชอบไม่มากก็น้อย แล้วไม่ควรมีใครมาว่าอะไรเราได้ ซึ่งเขาก็จะรับฟังกันนะคะ แต่ก็มองว่ามันเป็นความชอบเด็กๆ เดี๋ยวก็เลิกชอบ แต่เราดันชอบนานไง ชอบจริงจังด้วย (หัวเราะ)
หยิน: ตอนนี้การติ่งเปิดกว้างมาก ทุกคนสามารถภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองชอบได้ ซึ่งมันก็ควรเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก คนเราไม่ควรโดนเหยียดเพราะเป็นติ่งหรือเปล่า ต่อให้ไม่ติ่งนักร้อง ทุกคนก็ติ่งอะไรสักอย่างกันหมด คิดว่าพอคนใช้คำว่าติ่งกันเยอะๆ มันก็เลยกลายเป็นคำธรรมดาไปแล้ว ไม่ได้อคติอะไร แต่ตอนนั้นถ้าคนนอกพูดคำนี้กับเราก็เหมือนเหยียดจริงๆ ค่ะ เดี๋ยวนี้ยังดีที่เปลี่ยนไปแล้ว ทุกคนกล้านิยามตัวเองว่าเป็นติ่งอะไรสักอย่าง ซึ่งเราว่ามันดีขึ้นค่ะ
แมมมอธ: ตอนนี้รู้สึกว่าดีที่คนส่วนมากไม่ได้เหยียดติ่งแล้ว เมื่อก่อนเคยคิดนะว่า เฮ้ย เราเป็นติ่งแล้วคนอื่นเขาจะมองเรายังไง เลยไม่กล้าบอกใครว่าเราเป็นติ่ง ตอนนั้นก็ไม่ได้โดนว่าแรงๆ นะ แต่จะโดนจากคนในครอบครัวนี่แหละ ซึ่งเราก็ปล่อยผ่านไป แอบน้อยใจบ้าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เลยทำใจยอมรับแล้วทำให้เขาเห็นว่าการติ่งไม่ได้ทำเราเสียคนนะ การเรียนเราก็ไม่ได้ตกต่ำ ได้เกรด 4 เหมือนเดิม แค่มีงานอดิเรกเท่านั้นเอง
สิ่งที่อยากบอกกับศิลปินและคนในแฟนด้อม
ก่อนที่จะจากกันไป เราได้ฝากให้พวกเธอพูดทิ้งท้ายถึงศิลปินคนโปรดกับเพื่อนร่วมแฟนด้อมกันสักหน่อย คำตอบของแต่ละคนเรียกได้ว่าอัดแน่นไปด้วยความรักและความหวังดีเชียวล่ะ
พลอย: สิ่งที่อยากบอกศิลปินตอนนี้มีแค่ “ใช้ชีวิตให้ดี มีความสุขให้มาก” และอยากให้เขาอยู่ในจุดที่เราเห็นเขาได้ไปนานๆ เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาตลอด 10 ปี มันก็ถือว่านานมากพอให้มีทั้งคนที่เพิ่งเข้ามาในด้อม หรือคนเก่าๆ ที่ทยอยหายไป หรือวงที่เราตามอาจไม่ได้มีกิจกรรมบ่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ยังอยากให้เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีแฟนคลับอยู่ตรงนี้ ยังมีคนตั้งตารอหรือตื่นเต้นในทุกครั้งของการคัมแบ็กเสมอ ก็ขอให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างดี ส่วนกับคนในแฟนด้อมก็อยากบอกว่า “อยู่ชอบพวกเขาไปนานๆ เลยนะ อยู่ให้ความรัก EXO ทั้ง 9 คนไปเรื่อยๆ กัน”
หยิน: ไม่รู้จะบอกอะไรกับเลลุชนอกจาก “อยู่ในวงการให้เราเห็นหน้าไปนานๆ นะ” เพราะด้วยความที่เขาอินดี้แล้วก็ให้อิสระกับตัวเองมาก เลยไม่รู้ว่าเขาจะหายไปจากวงการเมื่อไหร่ สิ่งที่หวังเลยกลายเป็นความที่อยากเห็นเขาเปล่งประกายแบบนี้ไปนานๆ อยู่ดีกินดี มีงานเยอะๆ อยากให้เขามีความสุขอยู่ตลอดเวลา ส่วนกับคนในแฟนด้อม ที่อยากบอกก็คือ “อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะคะ อย่าเพิ่งทิ้งเลลุชไปไหน ถึงเลลุชจะพักงานอยู่ก็ตาม” (หัวเราะ) คือเราอยากมีเพื่อนที่ชอบเลลุชเยอะๆ อยากให้ทุกคนยังอยู่กับเลลุชค่ะ
แมมมอธ: เราอยากให้ศิลปินที่ชอบรู้ว่า “เราอยากให้ทุกคนรักเขา เหมือนที่เรารักเขา” อยากให้ทุกคนรู้ว่าคนๆ นี้สมควรได้รับความรักเยอะๆ เพราะเราเป็นแฟนคลับและเห็นความพยายามของเขามาตลอด ก็อยากให้เขาประสบความสำเร็จและไม่อยากให้เจออะไรไม่ดี ส่วนกับคนในแฟนด้อมที่ตามศิลปินมาด้วยกันตั้งแต่แรกๆ ก็ขอให้อยู่ด้วยกัน มีกันและกันไปนานๆ เลยนะ
ติดตามและอัปเดตเรื่องราวใหม่ๆ จากพวกเราได้ที่ Exotic Quixotic