Identity

ทำความรู้จัก ‘TOO CALDERONE’ ช่างทำวิก และแดรกควีนพลัสไซส์ดาวรุ่งของเมืองไทย

ชื่อของ ‘น้องโต’ – เชาวศิษย์ ประสงค์ อาจไม่เป็นที่รู้จักของผู้นิยมชมชอบการแสดง ‘แดรกโชว์’ ของเมืองไทย แต่ถ้าพูดชื่อ ‘Too Calderone’ เชื่อว่าหลายคนคงร้องอ๋อ เพราะเขาคือ ‘แดรกควีนพลัสไซส์’ ที่กำลังเป็น ‘ดาวรุ่งพุ่งแรง’ แบบสุดๆ และนอกจากจะเก่งกาจเรื่องการแสดงที่สร้างความประทับใจให้คนดูไม่รู้ลืม เขาคนนี้ยังเป็น ‘ช่างทำวิก’ ฝีมือฉกาจ ที่แดรกควีนทุกคนต้องเคยใช้บริการ และในวาระเดือนไพรด์ เดือนแห่งการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ 2023 นี้ EQ จึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Too Calderone ผู้มีความฝันสูงสุดคือ การได้เป็น ‘Ru Girl’ แห่งรายการ RuPaul’s Drag Race

LADY GAGA, รองเท้าส้นสูง, ครอบครัว และการทรานฟอร์มตัวสู่ ‘TOO CALDERONE’

แนะนำตัวให้ฟังได้ไหมว่าเป็นใคร มาจากไหน?

ชื่อนายเชาวศิษย์ ประสงค์ ชื่อเล่นว่า ‘น้องโต’ หรือ Too Calderone (โต แคลเดอโรน) ซึ่งที่เขียน ‘โต’ ว่า ‘Too’ เพราะเรามีจุดเริ่มต้นจากการถามครูภาษาอังกฤษ ตอนสมัย ป.1 ว่าโตเขียนอย่างไร เขาก็บอกว่า Too แล้วแคลเดอโรนมาจากเลดี้ กาก้า ตอนเป็นแดรกคิง ที่ใช้ชื่อว่า Jo Calderone (โจ แคลเดอโรน) ก็เลยกลายมาเป็น Too Calderone แต่จะเรียกอย่างไรก็ได้นะ แล้วแต่คนทำความเข้าใจ เรามันฟีลๆ อยู่แล้ว (หัวเราะ)

รู้ตัวว่าเป็นเกย์ แล้วก็ฟังเลดี้ กาก้า ตั้งแต่เด็กเลยเหรอ?

ไม่นะ ตอนเด็กๆ ก็เป็นผู้ชายนี่แหละ คือยังไม่เปิดตัวว่าเป็นเกย์ เราก็เป็นเด็กผู้ชายที่ชอบผู้หญิง สมัยก่อนเราชอบพี่แน็ป Restrospect เล่นคมแฝก แต่จุดเปลี่ยนคือ ชอบเลดี้ กาก้า รู้สึกว่าการมีเพชรส่องตามันเลิศ มันดูเป็นตัวแม่ดี แต่ก็ไม่ใช่เปลี่ยนเลยนะ มันค่อยๆ วิวัฒน์ เราเสพผลงานของเลดี้ กาก้า แล้วก็ค่อยกลายมาเป็นเราในทุกวันนี้ จนถึงวันนี้เราก็รู้สึกว่า เลดี้ กาก้า คือแรงบันดาลใจหลักสำคัญในการใช้ชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นร่างบอย หรือร่างแดรก

แล้วตอนไหนที่กล้าบอกที่บ้านว่าเป็นเกย์?

เราไม่ได้เข้าไปบอกว่า ‘หนูเป็นแบบนี้นะ’ คือแม่เขาไม่ชอบ ไม่อยากให้เป็นเลย จนเราก็ทะเลาะกับแม่ ไม่คุยกับแม่ ถึงขั้นทำร้ายตัวเอง ซึ่งมันเป็นสิ่งไม่ดีหรอกนะ แต่หลังจากนั้นประมาณเดือนกว่า แม่เขาก็มาง้อ แล้วก็พาไปซื้อรองเท้าส้นสูง แค่นั้นเลย แต่มันโคตรปลดล็อก คำว่าปลดล็อกในที่นี้ คือปลดล็อกทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เราต้องการปกปิด สิ่งที่เราไม่กล้าโชว์ให้ใครเห็น มันปลดล็อกหมดเลย แล้วตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวซัพพอร์ตทุกอย่างที่เราทำ เป็นแดรก หรือแต่งหญิง เวลาไปทำงาน พ่อแม่ก็จะขับรถพาไป พูดได้เลยว่าสำหรับเราที่เป็นเกย์ ครอบครัวคือด่านสุดท้าย ถ้าครอบครัวยอมรับเราได้ เราก็ไม่แคร์คนอื่นพูดเลยว่ามึงเป็นเกย์

ถนนสายแดรกควีน และการปลดล็อกปมในใจ

เริ่มแต่งแดรก หรือแสดงแดรกตอนไหน?

ตอนแรกเราไม่ได้แต่งแดรก แต่แต่งหญิงปกติ แล้วตอนนั้นมีแบรนด์เครื่องสำอางแบรนด์หนึ่ง บังเอิญมาเห็นเราแต่งหน้าแต่งตัว เขาก็มาเชิญเราไปร่วมงาน แล้วหลังจากนั้นมีรายการ ‘Drag Race Thailand’ ซีซั่น 1 เขาก็เรียกเราไปออดิชั่น แต่ไม่ติดนะคะ ตกรอบ (หัวเราะ) พอเรียกไป เราก็เลยแบบ ‘แดรกมันคืออะไรวะ’ เราก็เลยไปหาดูว่าคืออะไร แล้วก็ดูรายการ ‘RuPaul’s Drag Race’ จนกลายมาเป็นแดรกควีนทุกวันนี้

“เราชอบแต่งหญิง เราชอบเห็นตัวเองสวย นึกออกไหม คือสวยไม่สวยไม่รู้แหละ แต่ในหัวเราสวยแน่นอน ในรูปก็สวย แค่นั้นคือจบ”

พื้นที่ในวงการแดรกหายากหรือเปล่า?

ก็ยาก คือเมื่อก่อนเราเคยรู้สึกว่า เราเป็นแดรกประเภทที่คนอาจจะชอบน้อย เพราะเราเป็นพลัสไซส์ควีน แต่หลังจากนั้น เราก็หาข้อสรุปให้กับตัวเองได้ว่า ฉันต้องการทำให้ตัวเองมีความสุข ฉันแค่อยากเป็นแดรกที่ทำให้ตัวเองรู้สึกสวยแค่นั้น แล้วทำไมต้องมีอะไรมาเป็นกรอบให้เราด้วย แต่ในวงการก็มีการบูลลี่เยอะ จริงๆ มันไม่ใช่แค่วงการแดรกหรอก เรียกว่าเป็นวงการกะเทยดีกว่า แต่เรารู้สึกว่า ถ้าเรารู้จุดเสียของตัวเอง รู้จุดบอดของตัวเอง เราก็แค่ยอมรับมัน คนอื่นก็จะไม่สามารถบูลลี่เราได้ ถ้าบูลลี่มา ฉันจะบูลลี่แกกลับ ฉันจะด่าให้แกร้องไห้เลย (หัวเราะ)

เคยมีโมเมนต์ที่เจ็บปวดมากๆ ในการเป็นแดรกบ้างไหม?

มีโมเมนต์ตอนที่เราได้โอกาสไปโชว์ที่ร้านหนึ่ง แล้วมันทำให้เราเสียใจมากๆ ทุกอย่างทำให้เรารู้สึกแย่ไปหมด จุดเริ่มต้นคือ เราได้ไปโชว์ แล้วเราตัวใหญ่ แต่ด้วยความที่อยากสวยสง่า เราก็เลยใส่ส้นสูง 8 นิ้ว พอเดินขึ้นไปบนเวที กลับกลายเป็นว่า เราล้ม แล้วล้มต่อหน้าคนดูเยอะมาก มันก็เลยทำให้เราเสียใจมาก เสียใจเป็นปีเลย คือมันดูเป็นเรื่องเล็กน้อยนะ แต่เรารู้สึกว่า เราต้องการทำให้มันดี แต่มันกลับทำให้เรารู้สึกแย่ ข้อผิดพลาดในครั้งนั้น ทำให้เวลามีเรื่องนิดๆ หน่อยๆ เข้ามาในหัว เราจะดาวน์ในทันที ด้วยความที่เราเป็นคนคิดมาก เก็บทุกอย่างมาคิดด้วยแหละ

คนที่บูลลี่เราหนักที่สุดก็คือตัวเราเองหรือเปล่า?

ใช่ ตอนนั้นคือตัวเราเองนี่แหละ คนอื่นๆ เขาให้กำลังใจเรานะ แต่เรารู้สึกว่า มันไม่เพอร์เฟกต์ โชว์นั้นก็เลยกลายเป็นปมในใจ แต่เราก็ปรับตัวเองเยอะมากนะ แล้วหลังจากเกิดเรื่องตอนนั้น เราก็มีโอกาสได้โชว์ที่โรงแรม W เราเลยเอาโชว์ที่เคยพลาดมาโชว์ใหม่ แล้วเราทำได้ดีมาก เรากล้าพูดว่าทำได้ดีมากๆ หลังจากนั้นก็ปลดล็อกทุกอย่างเลย มันปลดล็อกอะไรในใจหลายอย่าง ทำให้เรารู้สึกว่า เราอยากโชว์อีก อยากทำอีก

Photo Credit: toocalderone

มองแดรกในแบบ TOO CALDERONE

วงการแดรกเมืองไทยในสายตาของ Too Calderone เป็นอย่างไร?

มันเป็นคอมมูนิตี้ที่น่ารักนะ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ผู้ชายหรือผู้หญิงสามารถแต่งแดรกได้ เรียกว่ามันเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างให้กับทุกคน ยินดีต้อนรับทุกคน แค่คุณเปิดใจแค่นั้นเอง อย่าไปคิดมาก เอาที่ทำให้ตัวเองมีความสุข คือเรารู้สึกว่า แดรกมันแค่มิติเดียวของชีวิตเท่านั้นเอง เหมือนกับว่าเราเองมีลุคปกติเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเมื่อไรที่แต่งแดรก เราจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่กล้าทำอะไรมากขึ้น กล้าในสิ่งที่ตัวเองอยากทำมากขึ้น สมมตินะ ถ้ามีผู้ชายหล่อมากคนหนึ่งเดินมา ถ้าลุคแบบตอนนี้เราอาจจะไม่กล้าเข้าไปขอไอจี แต่ถ้าเป็นลุคแดรกเราจะ ‘เฮลโล่ว ขอไอจีหน่อย’ อะไรแบบนั้น (หัวเราะ)

มีด้านไม่ดีด้วยใช่ไหม?

การแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกันไง แบบว่า กูต้องเด่นกว่า สวยกว่า ปังกว่า หรือถ้าเป็นสายโชว์ ก็มีแบบกูโชว์ดีกว่า มึงโชว์ไม่เลิศหรอก คือจะพูดบลัฟกัน ก็กะเทยอะเนอะ แบบว่า มึงไม่เลิศ ไม่สวย แต่งหน้าอุบาทว์มาก ไปลบคิ้วให้เนียนก่อน ซึ่งเรามีความรู้สึกว่า จะพูดทำไม ถ้าเกิดเขาแต่งไม่ดี ก็บอกเทคนิคดีๆ ให้เขาสิ หรือถ้าเขาโชว์ไม่ดี ก็บอกสิว่า สอนเต้นได้นะ อีกเรื่องก็คือ พื้นที่การแสดงแดรกมีค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ก็จะอยู่แถวๆ สีลม

มีคนแต่งแดรกเยอะขึ้นใช่ไหม?

ใช่ ก็เลยมีการแย่งงานกันไง แต่ควีนยุคใหม่ก็มีทางออกใหม่ๆ นะ เช่น สร้างตัวตนของตัวเองในโซเชียลมีเดีย เป็นแนวสร้างลุคควีนอย่างหนึ่ง ทำให้ทุกคนเห็น ไม่จำเป็นต้องไปโชว์ แต่ทุกคนสามารถมองเห็นฉันได้บนโซเชียลมีเดีย แล้วก็จะถูกแชร์ไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็เป็นช่องทางของการเติบโตบนถนนสายนี้เหมือนกัน

แดรกมีความหมายกับชีวิตของ Too Calderone อย่างไร?

มันเป็นอะไรที่ทำให้เรามีอาชีพมาจนถึงทุกวันนี้นะ แดรกควีนมีความหมายสำหรับเรามาก ถ้าเกิดมีคอมมูนิตี้แดรกต่อไป อาชีพการงานของเราก็จะยังมีต่อไป แต่ถ้าวันหนึ่งไม่มีแดรก เราจะไปทำอะไรนะ ไม่รู้สิ คิดไม่ออกเลย

“เราไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไรหรอกนะ แต่เป้าหมายสูงสูดของการเป็นควีน คือการได้เข้าไปอยู่ในรายการ RuPaul’s Drag Race มีชื่อของเราเป็น Ru Girl คนหนึ่ง แค่นั้นคือจบ อันนั้นคือจุดสูงสุดของการเป็นแดรกแล้วละ”

คนที่อยู่เบื้องหลังวิกผมสุดอลังของเหล่าแดรก

แดรกควีนไม่ใช่งานหลักใช่ไหม?

ใช่ แดรกเป็นอาชีพรองมากกว่า อาชีพหลักคือทำวิกผม เราทำวิกให้พี่นัท นิสามณี ทำให้พี่ไจ๋ ซีร่า, แพนไจน่า ฮีลล์ แล้วก็แดรกคนอื่นๆ ในเมืองไทยอีกเยอะมาก แดรกเด็ก แดรกผู้ใหญ่ เราทำให้หมด

จุดเริ่มต้นของการเป็นคนทำวิกเป็นอย่างไร?

จุดเริ่มต้นคือ เราไปแต่งหน้าของแบรนด์เครื่องสำอางแบรนด์หนึ่ง เราก็ทำผมของตัวเองไป แล้วไปเจอพี่นัท นิสามณี เขาก็บอกว่าสวยจัง ใครทำเหรอ เราก็บอกว่า ‘หนูเป็นคนทำเองค่ะ’ พี่นัทเลยบอกว่า เดี๋ยวจะส่งมาให้ทำนะ อยากให้เราช่วยทำให้ ซึ่งเราก็บอกแกว่ายังทำได้ไม่สวยนะ ยังทำแบบงูๆ ปลาๆ อยู่เลยตอนนั้น พี่นัทก็บอกไม่เป็นไร ขอแค่ทำแล้ว เขาใส่แล้วสวยก็พอ วันรุ่งขึ้นแกก็ส่งมาเลย 20 หัว เราเลยรู้สึกว่า พี่นัทคือคนที่ให้โอกาสเรา จนมันเริ่มเป็นอาชีพมาถึงทุกวันนี้ และสามารถเลี้ยงตัวเองได้

อะไรคือความท้าทายของการเป็นช่างทำวิก?

ความท้าทายคือทรงผมที่เราไม่เคยทำ ทรงผมแปลกๆ ทรงแฟชั่นมากๆ ขดเลี้ยวไปนู่นนี่ อันนั้นคือความท้าทาย ทุกทรงที่เราทำคือความท้าทายหมดเลย

“มันยากหมดทุกทรง แต่ถ้าฝึกทำไปเรื่อยๆ เราก็ทำได้นะ ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถหรอก”

มีคนทำอาชีพนี้น้อยใช่ไหม?

ใช่ หนึ่งคือวงการแดรกเมืองไทยมันแคบ สองคือวิกมันทำยาก ก็เลยทำให้วงการนี้มีคนทำวิกไม่เยอะ ในไทยมีไม่เกิน 10 คน ด้วยความที่การทำวิกแดรกมันจะมีของเฉพาะสำหรับมันเลย เส้นผมจะเหมือนผมตุ๊กตาบาร์บี้ มันไม่เหมือนผมจริงที่หวีแล้วก็ตรงเลย มันคือไหม Synthetic ซึ่งเป็นอุปกรณ์เฉพาะสำหรับวงการแดรก แต่มันก็มีอะไรใหม่ๆ เข้ามานะ เช่น ปีสองปีที่ผ่านมา ก็มีวิกผมแท้ ที่ทำจากผมคนจริงๆ ก็จะราคาแพงกว่า และเรากล้าพูดเลยว่าในประเทศไทยเนี่ย เราเป็นคนแรกๆ ที่นำเข้ามา ซึ่งวิกผมจริงจะไม่สามารถตีให้เป็นทรงใหญ่ๆ ได้นะ แต่มันจะฟุ้งกว่า เบากว่า เวลาเต้นแล้วมันจะฟุ้ง

อะไรคือความฝันของคนทำวิก?

การทำให้ทุกคนรู้จักเราในฐานะคนสร้างสรรค์ผลงานวิกแหละ

คำแนะนำจากสมดุลแห่งจักรวาล

มีสิ่งที่อยากบอกคนอื่นๆ ที่กำลังท้อบ้างไหม?

ก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จขนาดนั้น (หัวเราะ) แต่ก็อยากบอกว่า ถ้าเริ่มทำอะไรแล้ว ให้ทำมันต่อไป ของแบบนี้มันอยู่ที่เวลา เราเองก็บอกไม่ได้หรอกว่าต้องทำแบบนี้ๆ แล้วจะประสบความสำเร็จ ทุกอย่างต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อย่างเราเองก็ไม่ใช่ว่าทำแล้วจะได้แบบนี้เลย เราก็ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะมาถึงตรงนี้

“สิ่งสำคัญคือ อย่าหยุด ตราบใดที่เวลาบนโลกใบนี้ยังเคลื่อนต่อไป เราจะไม่มีทางหยุดพัฒนาตัวเอง ไม่มีทางหยุดพัฒนาความสวย เพราะเรามันตัวแม่สมดุลจักรวาล!”

ติดตาม Too Calderone ได้ที่

Instgram: toocalderone
TikTok: TooCal