'เหนื่อย' เป็นคำและกิริยาที่ให้ความรู้สึกแบบไม่มีวันสิ้นสุด รูปแบบความเหนื่อยของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป
บ้างก็เหนื่อย...ที่ต้องทำอะไรเพื่อคนอื่น
บ้างก็เหนื่อย...ที่ต้องพยายามเป็นคนดีในสายตาคนรอบข้าง
บ้างก็เหนื่อย...ที่ต้องใช้ชีวิตโดยไม่รู้ว่าความหมายของมันคืออะไร
บ้างก็เหนื่อย...ที่ต้องใช้ชีวิตไปวันๆ ตามสังคมไปเรื่อยๆ และไม่เคยทำตามหัวใจตัวเองสักที
Wellness Retreat อาจเป็นคำตอบที่ใช่ หรือ เป็นคำตอบที่ใครหลายๆ ค้นหา เพื่อบรรเทา เจือจาง และเยียวยาให้ความรู้สึก 'เหนื่อยล้า...ลดลง' ลองเปลี่ยนบรรยากาศความวุ่นวายในสังคมเมือง สู่ธรรมชาติบำบัดที่แสนสงบ ณ เกาะพะงัน สวรรค์และหมุดหมายของใครๆ หลายๆ คน เพื่อการดูแลสุขภาพและผ่อนคลายระดับลึกถึงจิตวิญญาณไปกับ 'WILD AWAKE' Community น่ารักๆ ที่ทำมานานกว่า 3 ปี ของ 2 สาว 'แม๊กกี้' และ 'นีน่า' สองเพื่อนซี้ต่างที่มา ที่มีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน และเห็นความสำคัญเรื่องภายในจิตใจ ด้วยการรักตัวเองให้มากขึ้น มองโลกด้วยความรักและความเมตตาอย่างเข้าใจ ผ่านกิจกรรมและวิถีชีวิตที่ No Plan แต่หลายๆ คนที่มาต้อง Go Agian
จุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจในการทำ WILD AWAKE
แม็กกี้: เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เรา 2 คนมาที่เกาะพะงันกัน มาตอนช่วงโควิดและเป็นช่วงที่ไม่มีอะไรเลย เริ่มจากเรามาเป็นครูสอนโยคะที่นี่ 1 เดือน แม็กกี้มาก่อนเดือนหนึ่ง นีน่าถึงตามมา เราเจอกันจากการเดินสวนกัน แล้ววันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่หยุดเรียน เห็นนีน่ากำลังนั่งสมาธิอยู่ เลยเดินเข้าไปหาเขา เหมือนปิ๊งๆ กันและอยากรู้ว่าเขามาทำอะไร เราเลยชวนเขาสวดมนต์ด้วยกัน ซึ่งเป็นการเจอที่ธรรมะมากๆ (หัวเราะ) พร้อมกับทิ้งเป้ไว้กับนีน่าเหมือนเป็นสัญญาว่าจะกลับมาที่นี่อีก จากนั้นก็กลับกรุงเทพฯเพื่อทิ้งทุกอย่าง ลาออกจากงาน พอกลับมาที่พะงันอีกครั้ง นีน่าเรียนจบพอดี
นีน่า: เขาถามเราว่า 'ไปวิปัสสนาด้วยกันไหม?' พอดีเหมือนตอนนั้นเราเพิ่งเรียนจบ รู้สึกการเรียนโยคะมันเปลี่ยนหลายๆ อย่างในชีวิตเรามาก ตอนนั้นโควิดเพิ่งเริ่ม อยู่กรุงเทพฯก็เครียด ไปเรียนอยู่ที่อังกฤษและกลับมาที่ไทยช่วงโควิด ก็เริ่มถามตัวเองว่า เรามาตรงนี้ได้ยังไง อะไรที่เคยทำแล้วมีความสุข พอทำตอนนี้ก็ไม่แฮปปี้เหมือนแต่ก่อน โยคะที่นี่ทำให้เปลี่ยนหลายๆ อย่างในชีวิตเรา แม้คอร์ส ณ ตอนนั้นมันจบลง แต่มันกลับเหมือนการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เลยตัดสินใจไปวิปัสสนาที่เกาะพะงันยาวเป็น 10 วัน ตอนนั้นก็เลยเจอแม๊กกี้และคิดว่าคนนี้น่าจะไปกับเราและบ้ากับเราได้
แม็กกี้: เราก็ไปนั่งข้างกัน 10 วันแบบไม่พูดกันเลย แต่นี่คือเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา เพราะเราสองคนได้เจอประสบการณ์ นั่งสมาธิ 100 ชั่วโมงร่วมกัน ไปเข้าป่าด้วยกัน พอจบคลาสออกมาเลยสนิทกัน พอรู้จักโยคะกับธรรมะมันเคลียร์หลายๆ อย่าง ทุกข้อสงสัยที่มันไม่เมกเซนส์ตอนอยู่กรุงเทพฯ แต่มาเจอคำตอบที่นี่ เราเกิดข้อสงสัยว่าทำไมไม่ค่อยมีคนไทยมา และทุกคนจะรู้จักพะงันแค่ฟูลมูนปาร์ตี้
“เราอยากทำ Retreat พาคนมาเที่ยวและอยู่กับเราสองคน เราทำอะไรก็ทำตามเรา ทั้งเล่นโยคะ นั่งสมาธิ หรือ พาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติ ไปเจอพี่ป้าน้าอาหรือเพื่อนๆ จนคิดว่าต้องทำเป็นรูปแบบโปรแกรมขึ้นมา อารมณ์แบบออกจากชีวิตในเมืองแล้วมาอยู่กับเรา”
จุดเด่นของ WILD AWAKE
แม็กกี้: (หัวเราะ) ไม่บอกอะไรเลย ถ้ามาคือ จ่ายตังค์ค่าคอร์ส ค่าเครื่องบิน ค่าเรือ จากนั้นเราสองคนจะไปรับที่ท่าเรือ ที่เหลืออีก 4 วันคือไม่รู้อะไรเลยนะ ไม่มีตาราง ไม่มีเวลา
นีน่า: ทุกๆ ครั้งที่เราทำเราจะพยายามหากิจกรรมที่เสริมประสบการณ์ของแต่ละกลุ่มที่มาหาเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากจะช่วยจากการที่เราพูดคุยกับทุกคนเบื้องต้นแล้ว ซึ่งทุกๆ ครั้งก็ไม่เหมือนกัน
“ไม่ใช่ใครจะมาก็ได้ เพราะต้องคุยกันก่อนมา ว่าถ้าเป็นแบบนี้เขาโอเคไหม และธีมแต่ละรอบก็ไม่เหมือนกัน”
กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่?
แม็กกี้: มีตั้งแต่ 20 ปลายๆ จนถึง 40 กว่า แต่ที่เคยมีมาที่นี่คือ เด็กสุด 19 ปี อายุเยอะสุดคือ 53 ปี หรือ อีกอันคือคนที่ Burnout ทำจนลืมทำเพื่อตัวเองไปเลย อารมณ์เหมือนอยากจะกลับมาดูแลตัวเอง รักตัวเอง อีกส่วนหนึ่งที่คนที่ทำแบบนี้อยู่แล้ว หรือ อยากรู้ว่าที่เราทำอยู่คืออะไร ซึ่งเป็นส่วนน้อย มีประมาณ 20%
นีน่า: มีทั้งคนไทยและฝรั่งด้วย แต่ส่วนใหญ่เป็นคนไทยค่ะที่มา เหมือนถึงจุดๆ หนึ่งในชีวิตเขา ทำงานมาเยอะแล้ว ได้ประสบการณ์ชีวิตมาเยอะแล้ว ประสบความสำเร็จในชีวิตมาระดับหนึ่งแล้ว หรือเจ้าของธุรกิจ แต่ยังมีคำถามบางอย่างกับตัวเอง ว่าฉันมาที่นี่ทำไม ทำไมฉันไม่มีความสุข
“see the world through the eyes of love หรือ การมองโลกด้วยแววตาแห่งความรัก ความเข้าใจ ทั้งคนอื่นและตัวเอง”
ทำไมจึงเลือกที่เกาะพะงัน?
แม็กกี้: ที่นี่เป็นเหมือนบ้านเราด้วยมั้ง และมีอะไรแปลกๆ คือเราไม่ได้อยากพาคนไปในที่ๆ เราไม่รู้จัก เพราะที่นี่คือชีวิตเรา และเราแค่แชร์ชีวิตเราและสิ่งที่เราทำ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรารู้มันอยู่ที่นี่ ที่นี่มาแล้วเหมือนอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยมีคนไทย เหมือนเป็นประเทศอีกประเทศหนึ่ง
นีน่า: สิ่งหนึ่งที่เราชอบของเกาะพะงันคือ ธรรมชาติ ที่นี่ยังบริสุทธิ์และเราก็สัมผัสมันได้ เป็นสิ่งที่ทำให้เราชอบมาเกาะนี้ ธรรมชาติที่นี่สวยงามมากแบบบอกไม่ถูก
โลโก้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากไหน?
นีน่า: ไอเดียมาจากดวงตาของพระพุทธเจ้า
แม็กกี้: เป็นดวงตาที่มองลง ซอฟต์ๆ แบบ ฉันมีความเห็นอกเห็นใจบนโลกใบนี้นะ และมาจากการที่เราไปเล่น ชี่กง (Qi Gong การออกกำลังกายด้วยท่วงท่าที่ช้าและละเอียดอ่อน) ด้วยกัน นีน่าพาเราไต่ข้ามหินเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 5 วันนั้นกลับบ้านมาแล้วนั่งวาดโลโก้จากพระอาทิตย์ที่เราเห็น ณ ตอนนั้น เลยวาดเป็นขีดหนึ่ง ที่มีพระอาทิตย์ขึ้นมา ข้างล่างเป็นดวงตาของพระพุทธเจ้า
“WILD คือความดิบ ป่าๆ แบบบ้านๆ AWAKE คือ การตื่นรู้ ในความบ้านๆ ธรรมดาๆ แบบธรรมชาติ มันมีความตื่นรู้อยู่ในนั้น ว่านี่มันคือชีวิต”
ช่วยเล่าถึงตัวกิจกรรมหลักๆ หรืออื่นๆ ที่น่าสนใจของ WILD AWAKE ให้เราฟังหน่อยว่ามีอะไรบ้าง
แม็กกี้: เหมือนหนังเรื่องหนึ่งค่ะ มีเรื่องราว มีจุดเริ่มต้น มีจุดพีค จุดจบ คือเราให้ความสำคัญกับ Storytelling เช่น การออกไปผจญภัย เพื่อไปผจญภัยข้างในตัวเอง ซึ่งการที่เราสร้างกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าการไปน้ำตก ทุกอย่างมีความตั้งใจอยู่ในนั้น เหมือนให้เราได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เหมือนไปค่ายลูกเสือ ให้เราได้ทำอะไรประหลาดๆ แบบเด็กๆ ง่ายๆ ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ออกมาจากคน ช่วยให้คนที่มาเปิดใจซึ่งกันและกัน เพราะบางทีเขาไม่รู้จักกัน หรือ เขาไม่รู้จักเรา หรือ รู้จักกันอยู่แล้วหลายปีแต่ไม่เคยนั่งคุยกันจริงๆ จังๆ สักที
ทุกอย่างเพื่อให้เกิดการสะท้อนกับตัวเองเพื่อที่เราจะเชื่อมโยงกับคนอื่นได้มากขึ้น ทุกโมเมนต์ของชีวิต ทั้งดีและไม่ดี แต่เราก็สามารถแชร์กันได้ แชร์ความในใจ ความลำบาก เพราะในความรู้สึกเหล่านั้น เราเชื่อมต่อกัน ไม่ใช่แค่ความเพอร์เฟกต์เพียงอย่างเดียวในการเชื่อมโยงกัน ทุกกิจกรรมโดยจะเป็นประมาณนั้น ในส่วนกิจกรรมที่แม๊กกี้และนีน่าเป็นโฮส 70-80% ส่วนอีก 20% จะเชิญเพื่อนๆ มาช่วย ทำวารีบำบัดบ้าง และกิจกรรมอื่นๆ ภายในเกาะ
ผู้ที่มาร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่มีปัญหาทางด้านใด?
แม็กกี้: เบิร์นเอาท์ ทำงานหัวฟู เครียดบ้าง หรือ เป็นโรคซึมเศร้า คิดมาก กิจกรรมการเปิดใจ หรือ การพาไปเจออะไรใหม่ๆ หรือ เจอผู้คนแปลกๆ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก มันเลยกลายเป็นสตอรี่ที่เขาได้เข้ามาสัมผัส ซึ่งในแต่ละตอนหรือแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย เหมือนเราได้ฉีดยาเข้าไปในตัวคน เพราะการเป็นตัวของตัวเอง เพราะการรักตัวเอง เกิดจากการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นก่อน
นีน่า: คิดมากนี่มีมาบ่อย หรือ บางคนก็แค่อยากมีคอนเนกกับตัวเอง หรือ กับคนอื่นได้เยอะขึ้น ภาพของทุกคนที่มา ทั้งก่อนและหลังมันคนละเรื่องเลย ทุกคนดูเบา ดูสนุกขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง สบายใจที่จะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น รู้สึกเป็นอิสระ
“ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง การรักตัวเอง Self Love แบบรู้สึกว่ารักตัวเองไม่มากพอหรือไม่เลย เหมือนเราอยู่ในคุกแต่ไม่รู้ว่าเราอยู่ในคุก มันคือความคิดของคนอื่นๆ หลายๆ คน ของสังคมที่เราโดนปั้นขึ้นมา แต่พอเราแหกคุกออกมาเราเพิ่งรู้ว่าเราอยู่ในนั้นได้ยังไงตั้งนาน“
ฟีดแบ็กของผู้ที่เข้ามาใช้บริการเป็นอย่างไร
แม๊กกี้: เป็นทริปที่ดีที่สุดในปีนี้ หรือ 1 ในทริปที่ดีที่สุดที่เคยไปมา ประมาณว่าเขาได้มาค้นหาตัวเองจริงๆ รู้สึกถึงความรักที่อยู่เบื้องหลังของการที่เราทำทุกอย่างด้วยกัน
นีน่า: เราชอบฟีดแบ็กคนหนึ่งมากที่บอกว่า มาที่นี่ความรู้สึกเหมือนกินเห็ดแต่ไม่ได้กินเห็ด (หัวเราะ)
เกาะพะงัน มีคาแร็กเตอร์เป็นยังไง มีความน่าสนใจ หรือ จุดเด่นอะไรบ้างที่เราชอบ
แม๊กกี้: Freedom เป็นสิ่งแรก และที่นี่ก็เป็นเหมือน Community ของคนที่รักในการค้นหาตัวเอง หรือ ตั้งคำถามกับชีวิต หรือ ทำอะไรแปลกๆ มารวมตัวกัน เลยการเป็นคอมมูฯที่น่ารัก
นีน่า: เป็นเกาะที่มีคนบ้าๆ บอๆ มารวมกัน และทำให้เกิดการทำอะไรที่อยากจะทำตามที่ใจต้องการได้ เป็นศูนย์รวมของคนที่มีมุมมองที่คล้ายๆ กัน เป็น Community ที่มีคนจากทั่วทุกมุมโลกมารวมกัน ทำให้เรารู้สึกว่า แม้เราจะพูดคนละภาษา แต่เรามีหัวใจที่เหมือนกัน และคอมมูฯนี้ นีน่ากับแม๊กกี้จะพาทุกคนไปเห็นสิ่งๆ ต่างๆ ของที่นี่ไปด้วยกัน
คำว่า Happiness ในมุมมองของเรา หมายถึงอะไร
แม๊กกี้: เหมือนไม่ค่อยคอนเนกกับคำนี้นานแล้ว Happy คือ ความสุขจากอะไร มาจากข้างนอกมั้ง ตั้งแต่เด็กๆ ก็ ‘happy, so happy, be happy’ ซึ่งเป็นคำที่เรารู้สึกว่าเราใช้น้อยที่สุด เหมือนใช้คำว่า Joy มากกว่า ซึ่งมันอาจจะแปลเหมือนกันก็ได้ เพราะ Joy คือ ความสุขจากข้างใน อาจหมายถึง การที่เราไม่ต้องขวนขวายอะไรไปมากกว่าที่เรามี
นีน่า: ความสุขคือ ถ้าเราไม่ได้อยากมีไปมากกว่านี้ หรือ มากกว่าที่เรามี หรือ น้อยไปกว่าที่เรามี เพราะสิ่งที่เรามีคือสิ่งที่เราต้องการ ในจุดๆ นี้ มันคงจะเป็นความสุขจริงๆ มันคือสิ่งที่เจอในตัวเรา ไม่ต้องมีสิ่งของมากมาย
อะไรที่ทำให้เรามีความสุขได้บ้าง ในฐานะคนทำ Wellness Retreat?
แม๊กกี้: ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของคนอื่น จากมาหน้าดำๆ มึนๆ แล้วเขาเปลี่ยนไปคือความ Joy สุดๆ แล้ว คือสิ่งที่ทำให้เราสองคนอยากทำต่อไปเรื่อยๆ บางทีเหนื่อย แต่พอเห็นชีวิตคนๆ หนึ่งเปลี่ยนจากสิ่งที่เราทำ มันคือสุดยอดแล้ว
นีน่า: การที่เรามีโอกาสที่สร้างให้กับผู้อื่น เป็นสิ่งที่สุดยอดแล้ว ถ้าเรามีความสุขและทำสิ่งเหล่านี้ถึงจุดนี้แล้ว เราแชร์สิ่งเหล่านี้ได้ เหมือนการได้ให้และได้รับในเวลาเดียวกัน
ความหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร
แม๊กกี้: คือการทำให้ชีวิตมีความหมาย ทำให้ทุกวันมีความหมาย เรามาแชร์ความรักให้กันและกันเถอะ ไม่ว่าจะเป็นการทำสิ่งที่เรารัก หรือ การรักคนที่เรารัก เรามาเรียนรู้เรื่องการรักตัวเองว่าเป็นอย่างไร เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ด้วยความรัก
นีน่า: นีน่าก็คิดเหมือนแม๊กกี้ค่ะ
Freedom ในมุมมองของคุณเป็นแบบไหน
แม๊กกี้: การไม่ตัดสินตัวเองเลย เราให้อิสระอะไรก็ได้ที่มันเป็นตัวเรา ไม่จำเป็นต้องดีสุด เพอร์เฟกต์สุด ไม่ต้องกดดันตัวเองมากมาย เราไม่จำเป็นต้องดีตลอด แย่บ้างก็ไม่เป็นไร มันคือ Freedom อย่างหนึ่งนะ
นีน่า: คนอาจคิดว่าคือ การทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ แต่จริงๆ อาจหมายถึง การที่เราเป็นเพื่อนสนิทของเสียงในหัวของเราได้ อิสระจากความคิด
ความรู้สึกของการ 'รักตัวเอง' เริ่มต้นจากตรงไหนได้บ้าง?
แม๊กกี้: ตามหัวใจเรา ไม่ว่าจะน่ากลัว มีเสียงจากข้างนอก หรือ เสียงจากข้างใน แต่อะไรล่ะ คือสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ ณ ตอนนี้ ที่ทำให้เราอยากจะทำ เพราะการที่เราทำออกมาจากหัวใจคือ สิ่งที่จริง ที่มาจากแรงบันดาลใจ ทำให้อยากขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ และตามหัวใจของตัวเองไป มันคือ Self Love อย่างหนึ่ง
นีน่า: มันคือการเริ่มต้นจากตัวเองที่จะอยู่กับตัวเองได้ คือ จริงๆ อยากให้มาทำความรู้จักกับตัวเอง การที่เราจะทำอะไรใหม่ๆ หรือ การออกจากคอมฟอร์ตโซนมากกว่า เป็นเวลาที่เราจะให้กับตัวเอง และได้ยินเสียงของใจตัวเองจริงๆ
การท่องเที่ยวสาย Wellness ในบ้านเราเป็นอย่างไร (และต่างประเทศเป็นอย่างไร)
แม๊กกี้: เราหวังว่าจะไม่ใช่แค่เทรนด์ เพราะเรารู้ว่าประเทศเราชอบทำตามกระแส เป็นแฟชั่น หวังว่า Wellness คงไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่เรารู้สึกว่าช่วงหลังๆ มี Mental Health เยอะมาก เพิ่งรู้ตอนช่วงโควิดที่พยายามจะหาจิตแพทย์ให้เพื่อน ซึ่งปรากฏว่าไม่มีคิวว่างไปอีกเดือนสองเดือนเลย เพิ่งรู้ว่ามีสิ่งนี้ในไทย ซึ่งตอนนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายมาก ซึ่งแตกต่างมีจาก ณ ตอนนี้
นีน่า: หลังจากโควิด Wellness เริ่มมีคนสนใจ และ คุยเรื่องแบบนี้มากขึ้น อย่าง วันศุกร์ชวนไป Sound Bath (การอาบคลื่นเสียง) แทนการแฮงเอาท์ อย่างที่กรุงเทพฯ ช่วงที่กลับไปล่าสุดก็มีสตูดิโอใหม่ๆ ที่ Offer การนั่งสมาธิ การเล่นโยคะจริงจัง เป็นโยคะที่มีศาสตร์ที่ช่วยเรื่องจิตใจ
“เราก็หวังว่า wellness ในไทยจะเป็นอะไรที่ยั่งยืน และไม่ว่าจะของเมืองนอก หรือ ในไทย มันก็คือ ธุรกิจอย่างหนึ่ง แต่อยากให้คนที่ทำมีความหวังดีกับคนจริงๆ ในสิ่งที่เขาอยากจะให้ เพราะถ้าเรามีความตั้งใจดี ทุกอย่างมันจะดีกับคนอื่นไปด้วย”
ความท้าทายของการทำ WILD AWAKE
แม๊กกี้: เราเป็นเพื่อนกันก็จริง แต่บางทีเราก็มีตีกันนะ ทำงานมีนก็มีพลาดบ้าง แต่ทำยังไงให้เราไม่ตัดสินซึ่งกันและกัน โดยเราพยายามที่จะเข้าใจกันตลอด แต่มันจะความเบลอนิดหนึ่ง เราเลยอยากจะทำให้มันไม่เบลอมาก เพราะเรามีเรื่องเข้ามา แต่เราก็ต้องทำงานร่วมกัน ตอนที่ทำ Retreat ไม่ค่อยชาเลนจ์เท่าตอนทำการตลาด ทำไอจี ทำคอนเทนต์ ซึ่งเป็นชาเลนจ์ใหญ่ของเราอย่างหนึ่ง เพราะเราเป็นเพื่อนกัน เราเห็นใจกันนะ เพราะบางทีนีน่าโคตรเหนื่อยเลย เราอยากให้เขาพัก ซึ่งเป็นเรื่องดีแต่บางทีก็ทำให้เราช้าในการทำงาน
นีน่า: สำหรับเราคือ การที่เรารักเกาะนี้มากและบางที เราก็ไม่รู้ว่าเราอยากให้คนมาที่นี่มากขึ้นไหม เพราะตอนนี้เกาะได้ดึงดูดฝรั่งที่ชอบและรักที่นี่ให้เขามา และเขามาเยอะมาก ทำให้เกาะนี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีแต่รถเต็มไปหมด
“เราเน้นสอนเรื่อง Eco Living สอนเรื่องธรรมชาติ การอยู่กับธรรมชาติ และการรักธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ช่วงปีที่ผ่านมาเลยทำกับควีนที่เขาเป็น Eco Living ของที่นี่เลย เพราะอยากให้เขาเอาความรู้เหล่านี้กลับไปด้วย แต่ส่วนใหญ่คนที่มากับเราก็ตกหลุมรักที่นี่จริงๆ”
โมเมนต์ที่ชื่นชอบและประทับใจ
แม๊กกี้: มีรอบหนึ่งที่พี่วู้ดดี้มา เราก็พาไปเดินในถนนจะไปทะเล แล้วมีร้านโรตีที่เราไปซื้อบ่อยๆ พี่คนขายเขาดีใจมาก เพราะเพิ่งฟังพอดแคสต์ของพี่วู้ดดี้ไปเมื่อวานแล้วได้มาเจอตัวจริง เขาดูปลาบปลื้ม ตื้นตันใจมาก มันเป็นอารมณ์ที่เขาได้แรงบันดาลใจ แล้วเขาก็ไปกอดกัน พูดคุยกัน และร้องไห้ เป็นโมเมนต์ที่เราไม่ได้จัดสรร เป็นสิ่งที่ชีวิตส่งมาให้คนๆ นั้นหรือสิ่งๆ นั้น ตอนนั้นเราถ่ายวิดีโอลงไว้ กลายเป็นไวรัลไปเลย ณ ตอนนั้น แล้วทำให้หลายๆ คนไปกินโรตีร้านเขา ตอนนี้เป็นร้านโรตีจริงจังไปแล้วจ้า
สิ่งที่เราตั้งใจจริงๆ คือ อยากจะนำคนจากกรุงเทพฯมา ตามหาสิ่งที่เขาอยากจะค้นหาจริงๆ ในขณะเดียวกันคือ การแชร์ความรุ่งเรืองตรงนี้ให้คนที่นี่ นั่นคือสิ่งสำคัญที่เราเขียนในโครงสร้างของเรา คือ ให้เงินเข้ามาหมุนที่นี่จากประสบการณ์ เหมือนหยดน้ำเล็กๆ ที่เราทำแต่มันมีอิมแพก ไม่ใช่แค่คนที่มาแต่คนที่อยู่ที่นี่ด้วย
นีน่า: เหมือนจักรวาลจัดสรร ไม่ได้เตรียม อารมณ์แบบน่าจะดีนะ ถ้าเราไปเจอคนนั้นคนนี้ แบบที่เราไม่ได้แพลน อะไรก็ตามที่มันมากกว่าที่เราสองคนจะแพลนได้ มันคือ ยูนิเวิร์ส
คิดว่าสิ่งที่ทำ ช่วยส่งเสริมคอมมูนิตี้ของเกาะพะงันอย่างไร?
แม๊กกี้: ก็ส่งเสริมนะ คิดว่าหลังๆ ที่คนไทยมาก็น่าจะมาจากเรา ก็คงเห็นจากคนนั้นคนนี้ คนที่มาเจอเราก็จะถามว่าไปเรียนโยคะที่ไหนมา เพราะไม่เคยเจอโยคะแบบนี้เลย เราก็ส่งไปโรงเรียนเราประมาณ 10 คนได้
นีน่า: ก็มีหลายๆ คนที่กลับมาที่เกาะหลายรอบแล้ว มีคนหนึ่งที่มาคือ ขายกิจการแล้วมาซื้อที่อยู่ที่นี่ ซึ่งคือเพื่อนเราเอง แล้วเขาเอาความรู้ที่เขามีเอาเงินมาหมุนต่อที่นี่
“ขอบคุณที่มา เพราะทุกบาททุกสตางค์ คือ ช่วยซัพพอร์ตคอมมูนิตี้ของเรา ให้ทุกคนได้หมุนเวียนกัน”
เวลาเจอปัญหาหรืออุปสรรค มีวิธีการจัดการ หรือ แก้ไขอย่างไร
แม๊กกี้: ถ้าเรื่องความสัมพันธ์ เราจะพูดกันเลย พยายามจะสื่อสารกันให้มากที่สุด เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด ไม่ได้พยายามไปซ่อมหรือทำความเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร ทำยังไงให้ครั้งหน้าไม่เป็นแบบนี้ จะช่วยให้อุปสรรคมันผ่านไปยังไง เรามา Brainstorm กันดีกว่า
นีน่า: เราเรียนเป็นเฟรมเวิร์กเรื่องการสื่อสารกัน ด้วยความเห็นอกเห็นใจ
หัวใจสำคัญของการทำ WILD AWAKE คืออะไร?
แม๊กกี้: มันคือการแชร์ แชร์ชีวิตของเรา แชร์ประสบการณ์ คนที่มาก็มาแชร์ประสบการณ์และเราก็ไปแชร์เงินกับคนในพื้นที่ แล้วคนที่มาหาเราเขาก็กลับไปแชร์ในพื้นที่ของเขา แล้วเขาก็กลับมาหาเรา มันจะหมุนไปแบบนี้แบบไม่มีวันสิ้นสุด มันคือ การแบ่งปันประสบการณ์
นีน่า: การที่เราคอนเนกกับตัวเอง เพื่อที่จะคอนเนกกับคนรอบๆ เราด้วย คอนเนกกับธรรมชาติ และโลกของเรา หรือ กับสิ่งที่ใหญ่กว่าเรา
WILD AWAKE ในอนาคตจะเป็นอย่างไร
แม๊กกี้: ปีนี้อาจจะระดมทุน เพื่อที่จะสร้างศาลาที่ทำกิจกรรมของเรา เพราะเวลารู้ว่าอะไรดี เราก็อยากให้คนอื่นมาสัมผัส ถ้ายังมีความศรัทธาในพวกเราก็อยากให้ช่วย เพราะปัจจุบันเราไปเช่าสถานที่คนอื่น แต่จริงๆ ถ้ามีเป็นของตัวเองคงจะดี ช่วงไฮซีซั่นก็หาที่ยากด้วย อยากมีศาลาสัก 4-5 ห้อง อยากจะมี Retreat Center เล็กๆ เหมือนบ้านหลังที่สองให้คนที่เคยมาแล้ว ต่อไปน่าจะมีต่างชาติเข้ามามากขึ้น อาจจะไม่ใช่แค่คนไทยแล้วเพราะเปิดประเทศแล้ว เราอาจจะขยายออกไปนอกพื้นที่มากขึ้น
นีน่า: Retreat ต่อไปเริ่มเดือนมีนา และหลังไฮซีซั่น และเราก็คุยกันว่าจะทำเวอร์ชั่นอินเตอร์ เหมือนเราไปสถานที่อื่น เพื่อไปรู้จักคนพื้นที่นั้นๆ จริงๆ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องในอนาคต
อยากให้แนะนำวิธีการดูแลตนเองเบื้องต้นแบบฉบับ WILD AWAKE ให้กับผู้อ่านหน่อยค่ะ
แม๊กกี้: ต้องรู้จัก Yes กับ No และ Boundary สำคัญมาก ไม่ใช่อะไรก็ได้ เรื่องขอบเขตจึงสำคัญมาก เราต้องรู้ว่าใช่แบบเต็มๆ คืออะไร ไม่มันคือยังไง เราก็จะหลุดออกมาจากการทำอะไรที่ต้องทำเพื่อตอบสนองคนอื่นแล้วมองข้ามสิ่งที่ตัวเองต้องการในเวลานั้น เหมือนอยากให้เคารพตนเอง
นีน่า: เรารู้สึกว่าการเขียนคือสิ่งสำคัญ เราอยากไปไหน เรารู้สึกยังไงตอนนี้ ทำไมเรารู้สึกแบบนี้ หลายๆ อย่างเราเขียนลงไปได้ โดยไม่ต้องมีคำถามก็ได้ เขียนอะไรก็ได้ที่อยู่ในหัวสมองเรา แล้วเป็นจุดที่ได้สะท้อนกับตัวเองว่าเราชีวิตเรามันเป็นยังไงอยู่ตอนนี้ แล้วเราอยากไปทางไหน ทำให้เราจัดลำดับความสำคัญและจัดการกับตัวเองได้เป็นอย่างดี และเข้าใจตัวเอง