‘ความรัก’ คืออะไรกัน และ ‘รักที่ไร้เงื่อนไข’ มันมีอยู่จริงไหมนะ อีกหนึ่งชุดคำถามน่าปวดหัวชวนโลกแตกไปไม่น้อยกว่าไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน เราเลยอยากชวนทุกคนมาสนทนา“วิน นิมมานวรวุฒิ” นักดนตรี/นักเขียน หรือในชื่อนามปากา “โรแมนติกร้าย” กับผลงานเขียนที่เต็มไปด้วยกวีภาษางดงามชวนฝัน เป็นเหมือนกอดที่เต็มไปด้วยรักในวันที่รู้สึกว่าโลกมันโหดร้าย พร้อมหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวความรักไปพร้อมๆ กัน
เราเริ่มต้นบทสนทนาด้วยคำถามแรกว่า อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาใช้ชื่อว่า กวีโรแมนติก เขาเล่าให้เราฟังว่าจุดเริ่มต้นมันเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงมัธยมที่เขาเริ่มเขียนบล็อคเพื่อบำบัดความเศร้าในใจหลังจากผิดหวังในความรักและเริ่มรู้สึกว่าตัวเขาเองนั้นไม่ฟิตอินกับสังคมชายเป็นใหญ่และอำนาจนิยม
“ถ้าเปรียบชีวิตนักเขียนของเราเป็นซีรีส์ ชื่อโรแมนติกร้ายจะเกิดขึ้นในช่วงวัยยี่สิบกลางๆ เปรียบเทียบเป็นซีซั่นที่สองที่เข้มข้นขึ้น รู้ตัวแล้วว่าตัวเองเป็นเฟมินิสต์ และอยากทำงานเขียนเพื่อรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ชื่อโรแมนติกร้ายมาจากการที่เรารู้สึกว่าตัวเองมองเห็นเรื่องโรแมนติกได้ในวันที่โลกร้ายๆ มันเหมือนเป็นความหวังอย่างหนึ่ง คือถึงจะพบเจอเรื่องร้ายๆ แค่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องให้โลกมาเปลี่ยนแปลงตัวตนของเรา รู้สึกว่าถูกจริตกับชื่อนี้ เลยเลือกที่จะใช้เป็นนามปากกาในการเขียนบทกวีมาตลอด”
การเขียนมันบำบัดความเศร้าในใจอย่างไรบ้าง
“ผลจากความรู้สึกผิดหวังในความรัก ไม่ฟิตอินกับสังคมชายเป็นใหญ่และอำนาจนิยมทำให้เราเป็นซึมเศร้าอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายปี แต่พอได้เริ่มทำหนังสือทำมือก็พบความสนุกที่ได้แชร์กับคนที่พูดภาษาเดียวกับเรา เป็นการบำบัดและฮีลใจตัวเองกับคนอื่นไปพร้อมๆ กัน พอโตขึ้นมาเราก็มีความสนใจในซับเจคท์ของความรักที่กว้างกว่าความผิดหวังหรือสมหวัง แต่สนใจมันในมิติเชิงวัฒนธรรมการเมือง สิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศด้วย
เขาเล่าให้ฟังว่าแรงบันดาลใจที่หลากหลายในการสร้างสรรค์งานเชียนของเขามีผลมาจากกระแส ‘Pop Feminism’ ช่วงปี 2014 ช่วงนั้นที่เขาอยู่ในนิวยอร์กและได้รับแรงบันดาลใจอิทธิพลมาจากนักเขียนสายเฟมินิสต์ Chimamanda Ngozi Adichie และกวีอย่าง Audre Lorde นอกจากนี้ก็ยังมีแรงบันดาลใจจากพื้นฐานที่ชอบสังเกตวิถีชีวิต สไตล์ แฟชั่นของผู้คนที่ทำให้เขาชื่นชอบเวลาไ้ปเขียนบทกวีสด (live poetry) ให้คนอ่าน
ประสบการณ์ทางดนตรีมีความเกี่ยวข้องกับการเขียนกวีอย่างไรบ้าง
“เราสนใจทั้งดนตรีและงานเขียนแบบคู่กันมานานแล้ว ถ้าให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งคงทำไม่ได้เพราะชอบทั้งคู่ สุดท้ายแล้วมันเลยเป็นเรื่องเดียวกัน คือการ express เรื่องราวบางอย่างที่อยู่ในใจออกมาเป็นงานศิลปะ แค่ต่างรูปแบบกันออกไป บางเพลงของเราต่อยอดจากบทกวี เช่น Miss Lonely Heart และ มหาสมุทรแห่งน้ำตา แต่ปกติเราทำงานโดยใช้ system คนละแบบในการเขียนบทกวีและแต่งเพลง เพราะโดยธรรมชาติเราถนัดแต่งและร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษ ความน่าสนใจคือเวลาทำเพลงเราจะได้แสดงออกถึงด้านที่เป็น masculine ในตัวเองมากกว่า เพราะได้ใช้เสียงร้องด้วย”
“ส่วนในงานเขียนเราจะค่อนข้างแสดงด้านที่เป็น feminine ในตัวออกมาเยอะกว่า ด้วยความที่เวลาเขียนหนังสือ เราสามารถเป็นใครก็ได้ บางวันเราอาจดึงเอาอินเนอร์ของความเป็นผู้หญิงในตัวมาใช้ มันมีอิสระในการเล่าเรื่องที่มากกว่า เป็นสองศาสตร์ที่คู่ขนานแต่แตกต่างกัน”
'รักไร้เงื่อนไข' ถ้าพูดถึงคำนี้จะนึกถึงอะไรบ้าง
“แม่ เป็นคนที่ทำให้เรายังเชื่อในความรักและความดีงามของมนุษย์ แต่ในที่นี้ไม่ได้พูดถึงความรักแบบแม่ลูกทั่งไป แต่พูดถึงแม่ของเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่เป็นทั้งเพื่อนรัก พี่สาว และแม่ในเวลาเดียวกัน มันเป็นความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์อีกคนมากกว่า อีกสิ่งหนึ่งที่เรารักแบบไร้เงื่อนไขคงเป็นความรักในไอศกรีมและขนมหวาน”
มันมีอยู่จริงเหรอ คำว่ารักไร้เงื่อนไข
“พอพูดคำว่ารัก แต่ละคนจะมีนิยามที่แตกต่างกันมาก บางทีนิยามตรงกันข้ามเลยก็มี ในยุคสมัยที่คำว่ารักที่ถูกนำมาใช้ใน pop culture หรือถูกทุนนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด เราคิดว่าความรักต้องถูกปกป้องจากสิ่งเหล่านั้น จริงๆ แล้วนิยามของมันเรียบง่ายและบริสุทธิ์มาก คือความเข้าใจและใส่ใจอย่างจริงใจ แต่พอเราต้องสร้างความสัมพันธ์บนโลกที่ขับเคลื่อนด้วยทุนนิยม มันจึงซับซ้อนและเกิดเงื่อนไขต่างๆ บางความสัมพันธ์เลยอาจจะดูเหมือนธุรกิจมากกว่าความรัก”
“ส่วนตัวเราเชื่อว่ารักไร้เงื่อนไขอาจมีอยู่จริง ถ้าเราอยู่ในยูโทเปียที่มีความเสมอภาคทางเพศ สีผิว และเชื้อชาติ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องการเมือง สิ่งแวดล้อมหรือปากท้องให้ต้องต่อสู้และเอาตัวรอด ถ้าอยู่ในเมืองที่เอื้อต่อการตกหลุมรัก เราคงเป็นนักรักที่ดีกว่านี้”
พอพูดถึงเรื่องความรักเราสงสัยว่านักกวีโรแมนติก เคยจีบใครโดยใช้บทเหล่านี้ไหม
“เราเคยนะ จริงๆ ทุกบทที่เขียนก็มี muse หมดเลย เคยคลั่งรักใครบางคนจนเขียนหนังสือได้เล่มนึงเลยด้วย แต่เวลาจีบใครส่วนมากคนนั้นเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าเราจีบอยู่ เราจะมีวิธีแสดงออกให้รู้ตัวว่าใส่ใจทะลุเฟรนด์โซน หรือแคร์ว่าคุณชอบอะไรเป็นพิเศษ เราชอบการให้ของขวัญที่ดูใส่ใจ เราว่ามันโรแมนติกมากๆ แต่สุดท้ายแล้วเราไม่เชื่อในการจีบกันเท่าการที่เคมีบางอย่างในร่างกายบอกให้รู้ว่าคนนี้ใช่”
“เราคิดว่าความรักและเคมีของคู่รักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ฝืนหรือพยายามไม่ได้ และอะไรที่ต้องอยู่คู่กันสุดท้ายก็หนีกันไม่พ้นอยู่ดี ไม่ว่าจะพยายามเข้าใกล้หรือวิ่งหนี”
โลกดิจิทัลทำให้ความงามในบทกวีสูญหายไปไหม
“ความงดงามในตัวบทกวีและภาษา เป็นสิ่งที่ไม่มีใครทำลายมันไปได้อยู่แล้วเช่นเดียวกับความงดงามในความรัก แต่พอพูดถึงมีเดียโลกดิจิทัล และวิธีที่เราเสพงานศิลปะ มันก็จะมีหลายประเด็นที่น่าจับตามองและถกเถียง ว่าสุดท้ายแล้วนวัตกรรมพวกนี้มันจะพาเราไปที่ไหน เช่นพอเอางานศิลปะมาอยู่บนแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์ มันก็ทั้งสร้างมูลค่าและทำให้รู้สึกว่าทุกสิ่งดูเยอะไปหมดในเวลาเดียวกัน เพราะเป็นยุคที่นักสร้างแพลตฟอร์มพยายามจะล่าอาณานิคมในแง่นึงมันก็ทำให้เรามีพื้นที่สื่อสารโดยตรงกับผู้เสพมากขึ้น”
“แต่บางทีการที่ศิลปินถูกกดดันด้วยยอดไลค์หรือตัวเลขมันก็มีมุมที่น่ากลัวและไม่ค่อยเฮ้ลตี้กับการทำงานสร้างสรรค์อยู่เหมือนกัน เราคิดว่าความงามของศิลปะและบทกวีไม่เคยหายไปไหน แต่มันถูกกำหนดคุณค่าตามยุคสมัยและ gatekeeper บางกลุ่ม”
อะไรคือสิ่งที่ทำให้รักในการเขียนกวีและยังทำงานเขียนอยู่
“เราชอบวิธีสื่อสารด้วยการเขียนที่สุด เพราะมีเวลาให้คิดอย่างละเอียดมากกว่าการพูด แต่ทำไมถึงยังรักนี่ก็ไม่แน่ใจมันอยู่ในธรรมชาติของเราโดยที่ไม่ได้ตั้งคำถาม น่า
จะเพราะว่ามันเป็นการสร้างสมดุลให้หัวใจในทุกช่วงชีวิต หลายคนจะงงว่าทำไมถึงเป็นนักเขียน พอเราบอกว่าการเขียนบทกวีไม่ใช่สิ่งที่ทำเงินขนาดนั้น แต่ส่วนตัวเราไม่ได้หวังว่ามันจะต้องทำให้ร่ำรวย ทุกวันนี้ก็ยังพยายามบาลานซ์ในการทำมันเป็นอาชีพ”
“เราทรีตโรแมนติกร้ายในฐานะแบรนด์คิดต่อยอดมันให้อยู่นอกเหนือจากหน้ากระดาษ ที่ผ่านมาเคยแปลงร่างมันให้ไปอยู่บนผืนผ้าในนิทรรศการ Miss Candy Heart และเป็นงานปักในนิทรรศการ Hope Factory ส่วนล่าสุดเราทำฟิล์ม double explosure ที่ถ่ายแล้วติดบทกวีในภาพกับทางร้าน Akirart ในธีม #แก๊งเด็กสายหวาน ที่ต่อยอดมาจากจดหมายที่เราเขียนถึงเพื่อนรักคนหนึ่งที่กลับดาวไปแล้ว ความท้าทายคือเราต้องโตขึ้นในฐานะศิลปิน แต่ต้องรักษาสัญชาตญาณในการเขียนแบบช่วงวัยรุ่นเอาไว้ การเขียนสำหรับเราเลยเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต เป็นการทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมาและฮีลใจตัวเองในเวลาเดียวกัน”
สุดท้ายแล้ว มีอะไรเกี่ยวกับความรักที่ได้เรียนรู้มาแล้วอยากจะแชร์เป็นกำลังใจให้กับคนอ่าน/คนที่ติดตามกวีโรแมนติกมา
“คงเป็นความรู้สึกขอบคุณคนอ่านมากกว่า เพราะถ้าไม่มีคนอ่านก็ไม่มีโรแมนติกร้าย จริงๆ แล้วคนอ่านเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เรายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยซ้ำ บทกวีของเราเป็นเหมือนจดหมายรักถึงคนอ่าน เป็นการพูดแทนเสียงของผู้หญิงและคนที่สำคัญในชีวิต เราประทับใจในความรักที่คนอ่านมีให้เรามากๆ นี่แหละมั้งความรัก การเป็นรอยยิ้มและเหตุผลที่ทำให้ใครสักคนเห็นคุณค่าของการมีชีวิต เราไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นผู้รู้เรื่องความรักหรือเรื่องอะไรเลย เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เรียนรู้และทำความเข้าใจได้ไม่สิ้นสุด เลยไม่เคยปักใจเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองคิดถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็เป็นเสน่ห์ ความซน และความโรแมนติกร้ายของมันเช่นกัน”
ติดตามวิน นิมมานวรวุฒิ และกวีโรแมนติกทั้งหมดได้ที่ winnythepanda, romanticraipoet