Auto

เปิดวิวัฒนาการ ‘แอร์รถยนต์ และฟิล์มกรองแสง’ ฟีเจอร์เย็นๆ ที่คนเมือง (ร้อน) ต้องขอบคุณ

สิ่งประดิษฐ์สี่ล้อ มีเครื่องยนต์ มีเบาะนั่ง และบังคับทิศทางได้ ที่มนุษย์เรียกว่า ‘รถยนต์’ มันถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1886 หากนับจนถึงปัจจุบัน ผู้คนก็รู้จักรถยนต์มาเป็นเวลากว่า 100 ปีแล้ว โดยระยะเวลาที่เริ่มต้นจนมาถึงปัจจุบันนั้น ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า มีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย มีการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้ผู้คนได้ใช้งานรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น สะดวกสบายกว่าในอดีต ตลอดจนความปลอดภัยที่ดีขึ้นสำหรับผู้ขับขี่

เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีต่างๆ ของรถยนต์ ถือว่ามีให้พูดถึงมากมายไปหมด แต่ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทยที่ใครๆ ก็เข้าใจได้ถึงความทรมานของสภาพอากาศ คงไม่มีฟีเจอร์ไหนที่น่าสนใจไปกว่าฟิล์มกรองแสง กับแอร์เย็นๆ อีกแล้ว ซึ่ง EQ ก็พร้อมพาคุณไปรู้จักเรื่องราวประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจของเจ้าฟีเจอร์คลายร้อนนี้

เริ่มกันที่ ‘Packard Motor Car Company’ เปิดหัวมาด้วยชื่อนี้คงต้องมึนงงกันอยู่บ้าง Packard Motor Car Company เป็นบริษัทรถยนต์หรูจากอเมริกัน ก่อตั้งขึ้นในปี 1899 มีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ระดับไฮเอนด์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในเรื่องคุณภาพ ความทนทาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนวัตกรรมของบริษัทที่เปลี่ยนวงการรถยนต์ไปตลอดกาลอย่าง ‘แอร์รถยนต์’ นั่นเอง 

Packard Motor Car Company กับระบบแอร์ในยุคเริ่ม
Photo Credit: Mac's Motor City Garage

ทั้งนี้ในปี 1939 บริษัท Packard Motor Car Company ได้เปิดตัวแอร์รถยนต์เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นเพียง อุปกรณ์เสริมพิเศษของรถยนต์เท่านั้น นอกจากนี้ดีไซน์ และขนาดของแอร์รถยนต์ในยุคเริ่มต้นก็มีขนาดใหญ่ ราคาสูงลิบ ตลอดจนประสิทธิภาพในการทำความเย็นก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร แต่ทุกค่ายรถยนต์ก็ล้วนให้การยอมรับว่า มันเป็นนวัตกรรมที่สำคัญแบบปฏิเสธไม่ได้

หลังจากนั้นในช่วงยุค 40’s - 50’s เป็นช่วงเวลาที่ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายอื่นๆ เริ่มพัฒนาระบบแอร์รถยนต์ขึ้นมาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Cadillac, Chrysler และ Nash เป็นต้น แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังมีข้อจำกัดที่ไม่ได้แตกต่างไปจากฝั่งของ Packard Motor Car Company สักเท่าไร เนื่องจากเทคโนโลยี และองค์ความรู้ต่างๆ ยังไม่ได้ดีมากพอ 

จนมาถึงในช่วงยุค 60’s - 70’s จุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้นเพราะ ค่ายรถยนต์ต่างๆ ก็สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับแอร์ขึ้นมาได้ ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็มีราคาถูกลงจากในอดีต แอร์รถยนต์ในเวลานั้นจึงมีประสิทธิภาพดีขึ้น ต้นทุนไม่สูง รวมทั้งยังถูกย่อขนาดให้เล็กลงกว่าเดิมอีกด้วย ทำให้แอร์รถยนต์กลายเป็นฟีเจอร์ที่ไม่ได้ถูกจำกัดไว้ในรถหรูราคาแพงอีกต่อไปแล้ว และได้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถยนต์มาจนถึงปัจจุบัน

คอมเพรสเซอร์แอร์ในยุคแรก
Photo Credit: Mac's Motor City Garage

ใช่ว่าแอร์รถยนต์จะมีหน้าที่เพียงแค่ทำให้อากาศในห้องโดยสารเย็นลงเพียงเท่านั้น อีกหนึ่งคุณสมบัติของแอร์รถยนต์ก็คือ ช่วยขจัดความชื้นออกจากอากาศ และลดโอกาสที่กระจกจะเกิดฝ้าอีกด้วย โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตกจะเห็นได้อย่างชัดเจนหากคุณเลือกที่จะไม่เปิดแอร์ในการขับขี่

อย่างไรก็ตามระบบแอร์จะทำงานได้ก็ต้องมี ‘ฟิล์มกรองแสง’ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนขับรถยนต์ส่วนใหญ่จำเป็นต้องมี แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่มีมาให้กับรถตั้งแต่แรก แต่ฟิล์มกรองแสงมักจะถูกนำเสนออยู่ในพวกของแถมส่วนลดต่างๆ เวลาที่ซื้อรถยนต์คันใหม่จากโชว์รูมนั่นแหละ ซึ่งฟิล์มกรองแสงนั้นเกิดขึ้นในช่วงยุค 60’s - 70’s

ฟิล์มกรองแสง
Photo Credit: Astro Auto Glass

แม้ว่าฟิล์มกรองแสงรถยนต์จะไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเกิดจากใคร แต่หนึ่งในบริษัทฟิล์มชั้นนำอย่าง 3M ก็ได้เปิดตัวฟิล์มกรองแสงรถยนต์เป็นครั้งแรกในปี 1966 โดยเทคโนโลยีในเวลานั้น ฟิล์มจะทำมาจากวัสดุโพลีเอสเตอร์ย้อมสี เพื่อช่วยลดความร้อนจากแสงแดดเพียงเท่านั้น

หลังจากนั้นเป็นต้นมา บริษัทต่างๆ เริ่มพัฒนาฟิล์มกรองแสงรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น ช่วงปี 1970 ได้มีการใช้วัสดุฟิล์มเคลือบโลหะ (ฟิล์มปรอท) แทนที่โพลีเอสเตอร์ย้อมสี ซึ่งมาพร้อมคุณสมบัติในการป้องกันความร้อนที่ดีกว่าเดิม แต่ข้อเสียก็คือ มันรบกวนสัญญาณวิทยุ และโทรศัพท์มือถือ ทำให้ต่อมาในปี 1990 ฟิล์มเซรามิกถูกนำมาใช้แทนที่ โดยมีประสิทธิภาพในเรื่องป้องกันความร้อน และแสง โดยที่ไม่ไปรบกวนสัญญาณวิทยุ และโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้อายุการใช้งานยังยาวนานกว่าวัสดุอื่นๆ

Photo Credit: s.alicdn

แม้หน้าที่หลักๆ ของฟิล์มกรองแสงรถยนต์จะช่วยกันความร้อน และแสงอาทิตย์ แต่อีกคุณสมบัติที่มีเป็นมาตรฐานในปัจจุบันก็คือ การป้องกันรังสี UV ซึ่งมันเป็นผลดีกับทั้งคนใช้รถ และตัวรถเอง เพราะฟิล์มกรองแสงจะช่วยชะลอไม่ให้อุปกรณ์ภายในห้องโดยสารต่างๆ เสียหาย เช่น การป้องกันการเสื่อมสภาพของคอนโซลหน้ารถ และคงสภาพสีของเบาะไม่ให้ซีดจาง 

อีกทั้งฟิล์มกรองแสงรถยนต์จะช่วยให้คุณประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกด้วย เพราะมันจะลดปริมาณความร้อนที่เข้าสู่รถยนต์ ทำให้ระบบปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนักเพื่อรักษาความเย็นภายในห้องโดยสารนั่นเอง

ในปัจจุบันคุณสมบัติของฟิล์มกรองแสงรถยนต์ก็ยังถูกพัฒนาให้มีคุณสมบัติอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ฟิล์มนิรภัยที่ช่วยป้องกันไม่ให้กระจกรถยนต์แตกจากการโดนทุบ นอกจากนี้ฟิล์มกรองแสงยังช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวในห้องโดยสาร (ยิ่งมีความเข้มของค่าฟิล์มเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเป็นส่วนตัวมากเท่านั้น)

Photo Credit: Chob Rod

แม้ว่าแอร์รถยนต์ และฟิล์มกรองแสงจะไม่ได้มีจุดเริ่มต้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันมาตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายแล้วในการทำงานก็มีแนวคิดที่คล้ายๆ กัน โดยแอร์รถยนต์ถูกสร้างมาเพื่อทำให้อุณหภูมิในห้องโดยสารเย็นลง เช่นเดียวกับ ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่ช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดดภายนอกไม่ให้เข้ามาในห้องโดยสาร ซึ่งการรวมกันของทั้งสองสิ่งนี้ก็ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ห้องโดยสารจะมีอุณหภูมิที่ไม่ร้อน แม้ในวันนั้นแสงแดดจะแรงแขนาดไหนก็ตาม

การที่รถยนต์ของคุณไม่ได้มีแอร์ และฟิล์มกรองแสง หรือฟีเจอร์นี้อยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งาน ก็ไม่ได้หมายความว่า รถยนต์ของคุณมีปัญหาจนไม่สามารถขับขี่ได้แต่อย่างใด เพราะทั้งแอร์รถยนต์ และฟิล์มกรองแสง ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในวันที่คุณต้องเจอกับการจราจรที่ติดขัดบนถนน และไอแดดเมืองไทยเพียงเท่านั้น การมีแอร์เย็นฉ่ำ และฟิล์มกรองแสงก็น่าจะช่วยลดอาการหัวร้อนหงุดหงิดลงไปได้ นอกเหนือจากความร้อนทางกาย